บทความและความรู้


ID Driver ภูมิใจร่วมสร้าง "ทักษะเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน" ให้เยาวชนไทย ณ โรงเรียนกัลยาณวัตร

ID Driver ในฐานะ โรงเรียนสอนขับรถ ที่มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทย มีความภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญเข้าร่วม โครงการส่งเสริมทักษะการเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2568 ณ หอประชุมอนุสรณ์ 100 ปี โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โครงการอันทรงคุณค่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการ สร้างจิตสำนึก และเสริมสร้าง ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย ให้กับเยาวชนไทย อันเป็นรากฐานสำคัญในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตามเจตนารมณ์ที่ปรากฏในหนังสือขอความอนุเคราะห์วิทยากรจากโรงเรียนกัลยาณวัตร เลขที่ ศธ ๐๔๒๐๕.๐๐๓/๙๒๔ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท ไอดีไดร์ฟ จำกัด หัวใจของโครงการ: ทำไม "ทักษะเอาชีวิตรอดบนท้องถนน" จึงสำคัญต่ออนาคตของเยาวชน? สภาพการจราจรในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง การที่เยาวชนจะสามารถใช้ชีวิตและเดินทางได้อย่างปลอดภัย ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การท่องจำกฎจราจรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมี ทักษะชีวิตบนท้องถนน ที่แข็งแกร่ง การรู้จักคาดการณ์สถานการณ์อันตรายล่วงหน้า การมีสติอยู่ตลอดเวลา และการตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็วในเสี้ยววินาที คือกุญแจสำคัญในการที่จะ ปลอดภัยไว้ก่อน เสมอ โครงการนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างของความรู้และทักษะที่นอกเหนือจากบทเรียนในห้องเรียน โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนรับมือกับสถานการณ์จริงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือแม้กระทั่งคนเดินเท้า ID Driver ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปลูกฝังความรู้และทักษะเหล่านี้ตั้งแต่เยาว์วัย เพราะการสร้างเยาวชนที่มีความรับผิดชอบ มีวินัย และตระหนักถึงความปลอดภัย จะส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อสังคมโดยรวม และนำไปสู่การลดสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างยั่งยืน เจาะลึกบทบาทของ ID Driver ในการเสริมสร้าง "ความปลอดภัยบนท้องถนน" ที่กัลยาณวัตร 2568 ภายในงาน "กัลยาณวัตร 2568" นี้ ID Driver ได้รับเกียรติให้เป็นวิทยากรหลักในช่วง แบ่งกลุ่มเรียนรู้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐ น. ไปจนถึง ๑๒.๐๐ น. โดยมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและน่าสนใจ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับความรู้และทักษะที่นำไปปรับใช้ได้จริง: กิจกรรมที่ ๑: การบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ และการต่อทะเบียนภาษี (เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๐.๑๕ น.) ช่วงนี้เป็นการให้ความรู้พื้นฐานที่สำคัญยิ่งสำหรับเยาวชน ซึ่งหลายคนเริ่มใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง วิทยากรจาก ID Driver ได้อธิบายถึงวิธีการบำรุงรักษาเบื้องต้นที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เช่น การตรวจเช็คลมยาง โซ่ เบรก ไฟส่องสว่าง รวมถึงความสำคัญของการตรวจสอบสภาพรถก่อนใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพพร้อมขับขี่ และยังให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการต่อทะเบียนภาษีรถจักรยานยนต์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อส่งเสริมวินัยการใช้รถใช้ถนนของเยาวชน กิจกรรมที่ ๒: การใช้สัญญาณจราจรณ์ และบรรทุกในท้ายการขับขี่บนท้องถนน (เวลา ๑๐.๑๕ - ๑๐.๔๕ น.) การทำความเข้าใจและการใช้สัญญาณจราจรอย่างถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญของ ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย ในช่วงนี้ ID Driver ได้เน้นย้ำถึงความหมายของป้ายจราจร สัญญาณไฟ และการให้สัญญาณมือต่างๆ ที่ถูกต้อง เพื่อลดความเข้าใจผิดและป้องกันอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบรรทุกผู้โดยสาร หรือสิ่งของท้ายรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย ไม่ให้เกินน้ำหนักที่กำหนด และไม่กีดขวางทัศนวิสัย ซึ่งมักเป็นสาเหตุหนึ่งของอุบัติเหตุในกลุ่มเยาวชน กิจกรรมที่ ๓: สะท้อนปัญหาของกลุ่มวัยรุ่นในการขับขี่บนท้องถนนและนำเสนอแนวทางการแก้ไขให้เพื่อนนักเรียน (เวลา ๑๐.๔๕ - ๑๒.๐๐ น.) กิจกรรมนี้ถือเป็นไฮไลต์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ วิทยากรจาก ID Driver ได้กระตุ้นให้นักเรียนร่วมกันสะท้อนปัญหาหรือพฤติกรรมเสี่ยงที่พบเจอจริงในการใช้รถใช้ถนนของกลุ่มวัยรุ่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นร่วมกัน การมีส่วนร่วมนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยปลูกฝังความรับผิดชอบและส่งเสริมให้เยาวชนคิดวิเคราะห์เพื่อ ขับขี่ปลอดภัย ได้ด้วยตนเอง นอกจากกิจกรรมภาคเช้าที่ ID Driver ได้มีส่วนร่วมอย่างเข้มข้นแล้ว ในช่วงบ่ายหลังจากการรับประทานอาหารกลางวัน (เวลา ๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น.) โครงการยังคงให้ความรู้ต่อเนื่องด้วยการบรรยายจาก คุณพิสิฐดนย์ เชี่ยวชาญด้านการจราจร จากสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ในหัวข้อ "ปัญหาการขับขี่รถจักรยานยนต์ในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน" (เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๓.๓๐ น.) ซึ่งเป็นการเสริมเนื้อหาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และปิดท้ายด้วยกิจกรรมภาคปฏิบัติที่น่าสนใจ อาทิเช่น การประเมินความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การป้องกันการถูกลืมในรถ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การจัดการภัยพิบัติ และการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยบนท้องถนน ID Driver มุ่งมั่นสู่การสร้าง "ทักษะชีวิตบนท้องถนน" ที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน โครงการส่งเสริมทักษะการเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน ที่โรงเรียนกัลยาณวัตรในครั้งนี้ เป็นเพียงก้าวหนึ่งของความมุ่งมั่นของ ID Driver ในการส่งเสริม ความปลอดภัยบนท้องถนน ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในสังคมไทย เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการลงทุนในการให้ความรู้แก่เยาวชนตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยและมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง การมี ทักษะเอาชีวิตรอดบนท้องถนน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ขับขี่เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงบทบาทของผู้โดยสาร คนเดินเท้า และผู้ใช้ถนนทุกคน การสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันในหมู่เยาวชน จะช่วยให้พวกเขากลายเป็นผู้ใช้ถนนที่มีคุณภาพ มีวินัย และเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ID Driver ขอขอบพระคุณ โรงเรียนกัลยาณวัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางสาวพัทธธิดา พิพัสสกุล รองผู้อำนวยการปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณวัตร ที่ได้มอบโอกาสอันทรงเกียรตินี้ให้กับเรา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์ความรู้และทักษะที่ได้มอบให้ในวันนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และช่วยสร้างเสริม ทักษะชีวิตบนท้องถนน ที่สำคัญให้กับนักเรียนและผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน เพื่อร่วมกันลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุ และสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถเดินทางได้อย่าง ปลอดภัยไว้ก่อน ในทุกเส้นทาง สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.t

4 2 ส.ค. 2568, 18:47

เมื่อไหร่คือเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง? คำตอบที่คุณควรรู้เพื่อถนอมรถยนต์สุดที่รัก

การดูแลรักษารถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ และหนึ่งในหัวใจหลักของการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานคือ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง อย่างสม่ำเสมอและถูกเวลา แต่คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ “เมื่อไหร่กันแน่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง?” บทความนี้จะเจาะลึกทุกคำตอบที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญและสามารถวางแผนการบำรุงรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องถึงสำคัญ? น้ำมันเครื่องเปรียบเสมือนเลือดในร่างกายของเครื่องยนต์ ทำหน้าที่หลากหลายอย่างที่สำคัญยิ่ง: หล่อลื่นชิ้นส่วน: ลดการเสียดสีและการสึกหรอของชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์ ระบายความร้อน: ช่วยดูดซับและระบายความร้อนที่เกิดจากการทำงานของเครื่องยนต์ ทำความสะอาด: ชะล้างสิ่งสกปรก คราบเขม่า และตะกอนที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ ป้องกันการกัดกร่อน: สร้างฟิล์มบางๆ เคลือบผิวชิ้นส่วนเพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อน เมื่อเวลาผ่านไป น้ำมันเครื่องจะเสื่อมสภาพลง คุณสมบัติในการหล่อลื่นและทำความสะอาดจะลดลง ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น สึกหรอเร็วขึ้น และอาจเกิดความเสียหายรุนแรงตามมาได้ สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว แม้ว่าจะมีระยะเวลาและระยะทางที่แนะนำในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่การสังเกตสัญญาณเตือนจากรถยนต์ของคุณก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกเวลา: ระยะทางและระยะเวลา: โดยทั่วไป ผู้ผลิตรถยนต์จะระบุระยะทางหรือระยะเวลาที่แนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องในคู่มือรถ โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 5,000 – 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันเครื่อง (น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะเปลี่ยนที่ระยะทางยาวกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์หรือน้ำมันเครื่องธรรมดา) "เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง" ตามคำแนะนำของผู้ผลิตเป็นวิธีที่ดีที่สุด สีของน้ำมันเครื่อง: น้ำมันเครื่องใหม่จะมีสีเหลืองทองใส แต่เมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ จะมีสีเข้มขึ้นจนเป็นสีดำ หากคุณดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาแล้วพบว่าน้ำมันมีสีดำขุ่น หรือมีสิ่งเจือปน แสดงว่าถึงเวลา "เปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์" แล้ว ระดับน้ำมันเครื่องลดลง: หากระดับน้ำมันเครื่องต่ำกว่าขีดที่กำหนด แสดงว่ามีการพร่องของน้ำมันเครื่อง อาจเกิดจากการรั่วซึม หรือการเผาไหม้ หากเติมแล้วระดับยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ควรนำรถเข้าตรวจเช็คและ "เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง" เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น: หากเครื่องยนต์มีเสียงดังผิดปกติ เช่น เสียงเสียดสี เสียงกุกกัก หรือเสียงเครื่องยนต์ทำงานหยาบขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ไม่สามารถหล่อลื่นได้เต็มที่ "เมื่อไหร่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง" ให้สังเกตเสียงเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไป ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลง: รถมีอัตราเร่งไม่ดี กินน้ำมันมากขึ้น หรือมีควันไอเสียสีดำ อาจบ่งชี้ว่าเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ และน้ำมันเครื่องอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง "เช็คระยะเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง" ตามอาการเหล่านี้ ไฟเตือนบนแผงหน้าปัด: รถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีไฟเตือนน้ำมันเครื่องแสดงขึ้นบนหน้าปัดเมื่อถึงเวลา หรือเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำมันเครื่อง หากไฟนี้สว่างขึ้นควรรีบตรวจสอบและ "กำหนดการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง" ทันที ปัจจัยที่มีผลต่อรอบการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง นอกจากระยะทางและระยะเวลาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของน้ำมันเครื่องและกำหนด "ระยะเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง" ของคุณ: พฤติกรรมการขับขี่: การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด ต้องสตาร์ท-ดับเครื่องบ่อยๆ หรือการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ใช้รอบเครื่องยนต์สูง จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ สภาพภูมิอากาศ: การขับขี่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือเย็นจัดมากๆ ก็ส่งผลต่ออายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องเช่นกัน อายุรถยนต์: รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานนานๆ หรือเครื่องยนต์ที่มีการสึกหรอมาก อาจต้องการการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่บ่อยขึ้น ประเภทของน้ำมันเครื่อง: น้ำมันเครื่องแต่ละชนิดมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% จะมีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุด ตามมาด้วยน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และน้ำมันเครื่องพื้นฐาน "ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่" ขึ้นอยู่กับชนิดที่คุณเลือกใช้ สรุป เพื่อการบำรุงรักษาที่ยั่งยืน การ "เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง" อย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่เพียงแค่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ แต่ยังช่วยให้รถของคุณทำงานได้อย่างราบรื่น ประหยัดน้ำมัน และลดโอกาสเกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิด การปรึกษาคู่มือรถและช่างผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังดูแลรถยนต์สุดที่รักของคุณได้อย่างดีที่สุด อย่าละเลยการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐานนี้ เพราะการลงทุนเพียงเล็กน้อยในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในอนาคตได้เป็นอย่างดี สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

6 2 ส.ค. 2568, 18:24

เตรียมพร้อมพิชิตยอดเขา ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขา ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

การออกทริปมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขา มอบประสบการณ์สุดเร้าใจกับวิวทิวทัศน์อันงดงาม และความท้าทายของเส้นทางคดเคี้ยว แต่การจะพิชิตยอดเขาได้อย่างปลอดภัยและราบรื่นนั้น การเตรียมตัวคือสิ่งสำคัญ บทความนี้จะมาแนะนำว่า ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาต้องเตรียมอะไรบ้าง เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับทุกสภาพเส้นทางและสภาพอากาศบนภูเขา โรงเรียนสอนขับรถ ไอดี ไดร์ฟเวอร์และเพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบเมื่อมีคนค้นหาข้อมูลการเตรียมตัวขึ้นเขา 1. ตรวจสอบสภาพรถมอเตอร์ไซค์: หัวใจสำคัญเพื่อความปลอดภัยบนทางลาดชัน ก่อนจะออกสตาร์ท สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการตรวจเช็กสภาพรถอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับเส้นทางขึ้นเขาที่ต้องใช้กำลังเครื่องยนต์และระบบเบรกอย่างหนัก นี่คือ เช็คลิสต์มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขา ที่ไม่ควรมองข้าม: ระบบเบรก: สำคัญที่สุดสำหรับการขับขี่ขึ้น-ลงเขา ตรวจสอบผ้าเบรก น้ำมันเบรก และการทำงานของเบรกหน้า-หลังให้มั่นใจว่าเบรกทำงานได้ดีเยี่ยมและตอบสนองได้ทันท่วงที ไม่มีเสียงดังผิดปกติ เครื่องยนต์: ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องและของเหลวอื่นๆ รวมถึงฟังเสียงเครื่องยนต์ว่าผิดปกติหรือไม่ กำลังอัดเครื่องยนต์ต้องดี เพื่อให้มีแรงปีนป่ายขึ้นเขาได้อย่างมั่นใจ ยาง: ตรวจสอบแรงดันลมยางให้เหมาะสม และที่สำคัญคือสภาพดอกยางต้องไม่สึกหรอมากเกินไป ควรเป็นยางที่มีดอกยางลึกพอสมควรเพื่อการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในสภาพถนนเปียกหรือดินลูกรัง ระบบไฟส่องสว่าง: ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ต้องทำงานได้ปกติ รวมถึงไฟตัดหมอก (ถ้ามี) เพราะบนเขาสภาพอากาศอาจเปลี่ยนแปลงเร็ว มีหมอกลง หรือแสงน้อย โซ่และสเตอร์ (สำหรับรถมีโซ่): ตรวจสอบความตึงหย่อนของโซ่ และสภาพฟันของสเตอร์ หากสึกหรอมาก ควรเปลี่ยน เพื่อการส่งกำลังที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โช้คอัพ: ตรวจสอบการทำงานของโช้คอัพหน้า-หลังว่ามีการรั่วซึมหรือผิดปกติหรือไม่ เพราะบนเขาคุณจะต้องเจอเส้นทางที่ขรุขระและโค้งชัน แบตเตอรี่: ตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่และสภาพโดยรวมว่าอยู่ในเกณฑ์ดี การบำรุงรักษารถมอเตอร์ไซค์เป็นประจำและเน้นย้ำในส่วนที่สำคัญกับการขับขี่ขึ้นเขาจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสียกลางทางได้อย่างมาก 2. อุปกรณ์ป้องกันและเครื่องแต่งกาย: พร้อมรับมือทุกสภาพอากาศ การเตรียมตัวขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขา ไม่ได้จำกัดแค่รถ แต่รวมถึงตัวคุณเองด้วย เพราะสภาพอากาศบนเขาเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา: หมวกกันน็อก: สิ่งสำคัญที่สุด! เลือกหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐาน มั่นคง และสวมใส่สบาย อาจเลือกแบบเต็มใบที่ปกป้องได้ทั่วถึงและมีช่องระบายอากาศที่ดี เสื้อการ์ด/เสื้อคลุมกันลม/กันหนาว: เลือกเสื้อที่มีการ์ดป้องกันบริเวณข้อศอก หัวไหล่ และแผ่นหลัง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการล้ม หากเป็นเสื้อที่กันลม กันน้ำ และให้ความอบอุ่นได้จะยิ่งดี เพราะบนเขามีลมแรงและอากาศเย็น ถุงมือ: ควรเป็นถุงมือที่ให้การปกป้องดีเยี่ยม ช่วยลดแรงสั่นสะเทือน ป้องกันมือจากลมหนาว และการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ควรมีคุณสมบัติกันลมหรือกันหนาวด้วย กางเกงขับขี่: เลือกกางเกงที่ทนทาน หรือกางเกงที่มีการ์ดป้องกันบริเวณสะโพกและหัวเข่า อาจเป็นกางเกงที่ให้ความอบอุ่นได้ในระดับหนึ่ง รองเท้า: ควรเป็นรองเท้าหุ้มข้อที่ปกป้องเท้าและข้อเท้าได้ดี มีพื้นกันลื่น และกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แว่นกันแดด/แว่นสำหรับขับขี่: ช่วยป้องกันแสงแดดจ้า ลม ฝุ่นละออง และแมลง ควรมีเลนส์ที่ปรับแสงได้ หรือพกแว่นสำรองสำหรับขับขี่ในที่แสงน้อยหรือมีหมอก 3. สัมภาระและอุปกรณ์จำเป็น: สำหรับทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน อุปกรณ์มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขา ที่จำเป็นจะช่วยให้คุณอุ่นใจตลอดเส้นทาง และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันบนภูเขา: ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน: อุปกรณ์ปะยางแบบพกพา หรือสเปรย์ปะยาง ชุดเครื่องมือประจำรถ: ประแจ ไขควง คีม ที่จำเป็นสำหรับรถของคุณ สายรัดสัมภาระ: สำหรับยึดกระเป๋าหรือสัมภาระให้แน่นหนา โดยเฉพาะบนเส้นทางที่คดเคี้ยว แผนที่/GPS ออฟไลน์: ไม่ว่าจะเป็นแผนที่กระดาษหรือแอปพลิเคชันนำทางที่สามารถใช้งานแบบออฟไลน์ได้ เพราะสัญญาณโทรศัพท์บนเขาอาจไม่เสถียร แบตเตอรี่สำรอง/พาวเวอร์แบงค์: สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น: ยาแก้ปวด พลาสเตอร์ ยาแดง แอลกอฮอล์ และยาสำหรับโรคประจำตัว เสื้อกันฝน/เสื้อกันหนาวเพิ่มเติม: แม้จะดูพยากรณ์อากาศแล้ว ก็ยังควรพกติดตัวไว้เสมอ เพราะบนเขาอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ขวดน้ำดื่มและอาหารว่าง: สำคัญมากสำหรับการเดินทางไกล โดยเฉพาะบนเขาที่อาจหาซื้อได้ยาก ไฟฉายขนาดเล็ก: สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือเมื่อต้องจอดรถในที่มืด เอกสารประจำตัวและเอกสารรถ: ใบขับขี่ บัตรประชาชน ทะเบียนรถ และสำเนาประกันภัย 4. การวางแผนเส้นทางและร่างกาย: เตรียมพร้อมทั้งกายและใจ ศึกษาเส้นทางล่วงหน้าอย่างละเอียด: ตรวจสอบสภาพถนน ความลาดชัน จุดอันตราย จุดแวะพัก จุดบริการน้ำมัน และร้านค้าที่เปิดบนเขา วางแผนการหยุดพัก: ไม่ควรขับขี่ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรหยุดพักทุกๆ 1-2 ชั่วโมง เพื่อยืดเส้นยืดสายและพักสายตา โดยเฉพาะบนเส้นทางที่ต้องใช้สมาธิสูง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: สำคัญมากก่อนวันเดินทาง เพื่อให้ร่างกายสดชื่นและมีสมาธิในการขับขี่ แจ้งคนใกล้ชิด: แจ้งเส้นทางและประมาณการเวลาเดินทางให้คนที่บ้านทราบ ฝึกทักษะการขับขี่ขึ้น-ลงเขา: หากไม่เคยขับขี่บนเส้นทางภูเขามาก่อน ควรฝึกฝนและทำความคุ้นเคยกับเทคนิคการใช้เกียร์ต่ำ การใช้เบรกเอนจิ้น และการเข้าโค้งบนทางชัน การเตรียมตัวที่ดีคือการสร้างความมั่นใจในการเดินทาง การขับขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป หากคุณพร้อมทั้งรถ อุปกรณ์ และร่างกาย หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้การค้นหา วิธีเตรียมตัวขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขา ของคุณสิ้นสุดลงที่นี่ ขอให้สนุกกับการเดินทางและปลอดภัยทุกเส้นทางบนยอดเขานะครับ! สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

8 2 ส.ค. 2568, 04:45

โครงการ “ร่วมใจภักดี ปรับปรุงป้ายรถเมล์” สาขาลำลูกกา คลอง 12 ปทุมธานี: น้อมถวายความจงรักภักดีเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสม

ในโอกาสอันเป็นมงคล วันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ผ่านมา ID Driver สาขาลำลูกกา คลอง 12 ปทุมธานี รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น จึงได้ริเริ่มและดำเนินโครงการ "ร่วมใจภักดี ปรับปรุงป้ายรถเมล์" ณ บริเวณหน้าโรงเรียนลำลูกกา คลอง 12 การปรับปรุงทาสีป้ายรถเมล์ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เป็นการยกระดับภูมิทัศน์ของพื้นที่ให้สวยงามและน่าใช้งานยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือร่วมใจของพวกเราชาว ID Driver และประชาชนในพื้นที่ ในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพยิ่งของคนไทยทุกคน ความสำคัญของการปรับปรุงป้ายรถเมล์เพื่อชุมชน ป้ายรถเมล์เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการเดินทางสาธารณะในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปที่ใช้บริการ ขนส่งสาธารณะ เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ป้ายรถเมล์ที่สะอาด สวยงาม และอยู่ในสภาพดี ย่อมสร้างความรู้สึกที่ดีและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน การปรับปรุงทาสีและซ่อมแซมป้ายรถเมล์ที่ทรุดโทรมให้กลับมามีสภาพที่ดีอีกครั้ง จึงเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงผู้สัญจรไปมาในพื้นที่ ลำลูกกา คลอง 12 การดูแลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเช่นนี้สะท้อนถึงความห่วงใยและใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน น้อมถวายความจงรักภักดีผ่านการทำความดี โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความมุ่งมั่นที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยมาโดยตลอด การดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์ การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นพลเมืองที่ดี ป้ายรถเมล์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งก่อสร้าง แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความสามัคคีและความรักในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ของพวกเราชาว ID Driver สาขาลำลูกกา และประชาชนในพื้นที่ ปทุมธานี ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ความสำเร็จของโครงการ "ร่วมใจภักดี ปรับปรุงป้ายรถเมล์" นี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมือและแรงสนับสนุนจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงาน ID Driver สาขาลำลูกกา คลอง 12 ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการดำเนินงาน รวมถึงการสนับสนุนจากโรงเรียนลำลูกกา คลอง 12 และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง การทำงานร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และส่งเสริมให้พื้นที่ ลำลูกกา และ ปทุมธานี เป็นเมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ประโยชน์ที่ยั่งยืนต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของพื้นที่และการแสดงออกถึงความจงรักภักดีแล้ว โครงการนี้ยังให้ประโยชน์อีกมากมายต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม การใช้สีที่มีคุณภาพสูงในการทาสีป้ายรถเมล์จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความจำเป็นในการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการลดภาระด้านงบประมาณในระยะยาว นอกจากนี้ ป้ายรถเมล์ที่สะอาดและสวยงามยังช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาใส่ใจในการรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตโดยรวมของชาว ปทุมธานี ID Driver กับพันธกิจเพื่อสังคม ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจ เราเชื่อมั่นว่าการเติบโตทางธุรกิจควรควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมและการช่วยเหลือชุมชน โครงการ "ร่วมใจภักดี ปรับปรุงป้ายรถเมล์" เป็นเพียงหนึ่งในกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) ที่ทาง ID Driver ได้ริเริ่มขึ้น และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมถือเป็นการลงทุนที่ยั่งยืน ซึ่งจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจและความผูกพันระหว่างองค์กรกับชุมชนในระยะยาว เชิญชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ "ร่วมใจภักดี ปรับปรุงป้ายรถเมล์" นี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้หน่วยงาน องค์กร และประชาชนทั่วไป หันมาร่วมกันทำความดีและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชุมชนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็กๆ หรือโครงการใหญ่ ทุกการกระทำล้วนมีความหมายและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้เสมอ หากท่านมีความสนใจที่จะร่วมมือหรือสนับสนุนโครงการเพื่อสังคมในพื้นที่ ลำลูกกา หรือ ปทุมธานี สามารถติดต่อเราได้ที่ ID Driver สาขาลำลูกกา คลอง 12 เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th  

10 2 ส.ค. 2568, 03:19

ความลับของเกียร์!! ไขความแตกต่างที่ขับเคลื่อนรถยนต์ของคุณ (และทำไมคุณควรรู้!)

รถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะที่พาเราไปจากจุด A ไปจุด B แต่ยังเป็นผลรวมของวิศวกรรมที่ซับซ้อน และหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของรถยนต์คือ "เกียร์" หรือ "ระบบส่งกำลัง" บทความนี้จะเจาะลึกถึง ความแตกต่างของเกียร์บนรถ ประเภทต่างๆ อธิบายการทำงาน และชี้ให้เห็นว่าทำไมการทำความเข้าใจระบบเกียร์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือผู้เชี่ยวชาญ เกียร์คืออะไร และทำไมต้องมี? โดยพื้นฐานแล้ว เกียร์คือชุดของกลไกที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อรถยนต์ เพื่อให้รถสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและแรงบิดที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เครื่องยนต์รถยนต์มีช่วงการทำงานที่มีประสิทธิภาพจำกัด การมีระบบเกียร์ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานที่รอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำในเมือง หรือเร่งความเร็วบนทางหลวง ประเภทของเกียร์บนรถยนต์: เกียร์ธรรมดา vs. เกียร์อัตโนมัติ 1. เกียร์ธรรมดา (Manual Transmission) เกียร์ธรรมดาเป็นระบบที่ผู้ขับขี่ต้องมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเอง โดยใช้คันเกียร์และแป้นคลัตช์ ข้อดีหลักๆ ของ เกียร์ธรรมดา คือ: ควบคุมได้เต็มที่: ผู้ขับขี่สามารถเลือกอัตราทดเกียร์ที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกับรถมากขึ้น และเหมาะสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต ประหยัดน้ำมัน (ในบางกรณี): ในอดีต เกียร์ธรรมดามักจะมีประสิทธิภาพการใช้น้ำมันที่ดีกว่าเกียร์อัตโนมัติ เนื่องจากสูญเสียกำลังน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันพัฒนาไปมากจนช่องว่างนี้แคบลง ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า: โดยทั่วไป เกียร์ธรรมดามีโครงสร้างที่เรียบง่ายกว่า ทำให้ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซมถูกกว่า ราคาถูกกว่า: รถยนต์ที่ติดตั้งเกียร์ธรรมดามักจะมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่ารถยนต์รุ่นเดียวกันที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ ข้อเสียของ เกียร์ธรรมดา คือต้องใช้ทักษะในการขับขี่ที่มากกว่า อาจไม่สะดวกในการขับขี่ในสภาพการจราจรติดขัด และมีแนวโน้มที่จะล้าจากการเหยียบคลัตช์บ่อยๆ 2. เกียร์อัตโนมัติ (Automatic Transmission) เกียร์อัตโนมัติเป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากความสะดวกสบายในการขับขี่ ไม่ต้องเหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเกียร์เอง ข้อดีของ เกียร์อัตโนมัติ ได้แก่: ขับขี่ง่ายและสบาย: เหมาะสำหรับผู้ขับขี่มือใหม่และผู้ที่ต้องเผชิญกับการจราจรติดขัดในเมือง นุ่มนวลกว่า: การเปลี่ยนเกียร์มักจะราบรื่นกว่าเกียร์ธรรมดา ทำให้การขับขี่สบายขึ้น มีหลากหลายประเภท: เกียร์อัตโนมัติเองก็มีหลายประเภทที่แตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีการทำงาน ประเภทของเกียร์อัตโนมัติยอดนิยม เกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ (Torque Converter Automatic Transmission): เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบดั้งเดิมที่ใช้ของเหลวในการส่งกำลัง มีความทนทานสูงและให้ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT (Continuously Variable Transmission): เกียร์ประเภทนี้ไม่มีเกียร์เป็นชุดๆ เหมือนเกียร์ทั่วไป แต่จะใช้สายพานและพูลเลย์ในการปรับอัตราทดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันสูงสุด เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ (Dual-Clutch Transmission - DCT): เกียร์ DCT มีโครงสร้างคล้ายกับเกียร์ธรรมดา 2 ชุดทำงานคู่กัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วและแม่นยำมาก เหมาะสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง เกียร์กึ่งอัตโนมัติ (Automated Manual Transmission - AMT): เกียร์ประเภทนี้มีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนเกียร์ธรรมดา แต่มีระบบไฟฟ้าและกลไกมาช่วยในการเปลี่ยนเกียร์และควบคุมคลัตช์ ทำให้ขับง่ายขึ้น แต่การเปลี่ยนเกียร์อาจไม่นุ่มนวลเท่าเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์หรือ CVT การเลือกเกียร์ที่เหมาะสม อะไรคือเกียร์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ? การตัดสินใจเลือกระหว่าง เกียร์ธรรมดา และ เกียร์อัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สไตล์การขับขี่: หากคุณชอบการควบคุมที่สมบูรณ์และประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ เกียร์ธรรมดาอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความผ่อนคลาย เกียร์อัตโนมัติคือคำตอบ สภาพการจราจร: การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด เกียร์อัตโนมัติจะช่วยลดความเมื่อยล้าได้อย่างมาก งบประมาณ: รถยนต์เกียร์ธรรมดามักจะมีราคาถูกกว่าและค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า ประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน: แม้ว่าเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ๆ จะประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้น แต่เกียร์ CVT ยังคงเป็นผู้นำด้านการประหยัดน้ำมัน สรุป ความแตกต่างของเกียร์บนรถ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของคันเกียร์หรือแป้นคลัตช์ แต่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่ซับซ้อนที่ส่งผลต่อประสบการณ์การขับขี่โดยรวม การทำความเข้าใจประเภทและข้อดีข้อเสียของเกียร์แต่ละแบบจะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการและสไตล์การขับขี่ของคุณได้อย่างแท้จริง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลและตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบเกียร์บนรถยนต์ของคุณ สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

24 2 ส.ค. 2568, 03:18


Scroll to Top