การขับขี่รถยนต์เป็นกิจกรรมที่หลายคนทำทุกวัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า "อาการแปลกๆของรถที่ไม่ควรมองข้าม" อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น การละเลยอาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่อาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงขึ้น แต่ยังเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารอีกด้วย ทำไมต้องรู้จักอาการแปลกๆของรถ? การสังเกตอาการผิดปกติของรถตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่รุนแรงได้ นอกจากนั้นยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์อีกด้วย หากคุณต้องการดูแลรถอย่างมืออาชีพ การรู้จักอาการเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็น 1.เสียงดังผิดปกติขณะขับขี่ เสียงดัง “ครืดๆ” หรือ “จี๊ดๆ” ที่เกิดจากใต้ท้องรถหรือเครื่องยนต์ เป็นอาการแปลกๆของรถที่ไม่ควรมองข้าม เสียงเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงปัญหาในระบบเบรก ระบบช่วงล่าง หรือแม้กระทั่งท่อไอเสียที่อาจหลุดหลวม หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้ 2.รถเร่งไม่ขึ้นหรืออืดผิดปกติ หากคุณรู้สึกว่ารถเร่งไม่ขึ้น ทั้งๆ ที่เหยียบคันเร่งตามปกติ หรือมีอาการกระตุก อาจเป็นสัญญาณว่าระบบเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดมีปัญหา บางครั้งอาจเกี่ยวกับไส้กรองอากาศหรือเซ็นเซอร์ที่ผิดปกติ 3.มีควันสีผิดปกติออกจากท่อไอเสีย ควันสีฟ้า สีดำ หรือสีขาวขุ่นที่ออกจากท่อไอเสียถือเป็นอาการผิดปกติอย่างยิ่ง ควันสีฟ้า: อาจเกิดจากการเผาน้ำมันเครื่องร่วมกับเชื้อเพลิง ควันสีดำ: ระบบการเผาไหม้ทำงานผิดปกติ ใช้น้ำมันมากกว่าปกติ ควันสีขาวขุ่น: อาจมีน้ำรั่วเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เช่น ปะเก็นฝาสูบรั่ว 4.กลิ่นแปลกในห้องโดยสาร หากได้กลิ่นไหม้ กลิ่นน้ำมัน หรือกลิ่นสารเคมีขณะขับรถ นี่คือสัญญาณอันตรายที่อาจมาจากระบบไฟฟ้าไหม้ ท่อน้ำมันรั่ว หรือหม้อน้ำรั่ว ต้องรีบตรวจสอบทันที เพราะอาจนำไปสู่อุบัติเหตุหรือเพลิงไหม้ได้ 5.ระบบเบรกตอบสนองช้าหรือมีเสียง เบรกที่ทำงานไม่ดี เสียงดัง “เอี๊ยดๆ” หรือรู้สึกว่ารถเบรกไม่อยู่ เป็นอาการแปลกๆของรถที่อันตรายมาก อย่ารอให้เบรกหมดสภาพ ควรเช็กผ้าเบรก น้ำมันเบรก และจานเบรกทันที 6.พวงมาลัยสั่นหรือรถเป๋ซ้าย-ขวา เมื่อพวงมาลัยสั่นโดยเฉพาะตอนขับเร็ว หรือรถเป๋ไปด้านใดด้านหนึ่ง นี่อาจเป็นสัญญาณของยางไม่สมดุล ศูนย์ล้อเพี้ยน หรือช่วงล่างหลวม ควรนำรถเข้าเช็กที่ศูนย์บริการเพื่อความปลอดภัย 7.ไฟแจ้งเตือนบนหน้าปัดรถยนต์ อย่ามองข้ามไฟแจ้งเตือนต่างๆ บนหน้าปัด เช่น ไฟเครื่องยนต์ (Check Engine), ไฟเบรก หรือไฟอุณหภูมิสูง ทุกดวงมีความหมาย และบอกปัญหาเฉพาะจุดของระบบรถ หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจสอบ อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงได้ สรุป อาการแปลกๆของรถที่ไม่ควรมองข้าม เป็นสิ่งที่เจ้าของรถควรหมั่นสังเกตอยู่เสมอ การตรวจเช็กและบำรุงรักษารถตามระยะทางอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว หากพบอาการใด ๆ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการที่เชื่อถือได้ทันที สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th
68 3 ส.ค. 2568, 01:36การขับรถต่างประเทศเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น แต่อย่าประมาทเพราะกฎหมายจราจรแต่ละประเทศล้วนมีข้อแตกต่างและบางข้อเข้มงวดจนคุณอาจโดนปรับหากไม่รู้ตัว! บริษัท ไอดีไดร์ฟ จำกัด จะพามาดูกันเลยว่าในหลายประเทศทั่วโลกมีกฎใดบ้างที่คุณควรระวังก่อนออกเดินทาง ญี่ปุ่น วินัยจราจรเข้มงวดมาก เน้นความปลอดภัยสูงสุด หากขับรถขณะเมา ไม่เพียงคนขับจะถูกจับ แต่ผู้โดยสารก็มีความผิดร่วมเช่นกัน เพราะถือว่าร่วมสนับสนุนการกระทำผิด ห้ามขับผ่านแอ่งน้ำด้วยความเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจสาดน้ำเปื้อนผู้คนบนทางเดิน ต้องติดตั้ง Fender ลดแรงกระเซ็นจากโคลนและน้ำให้เรียบร้อยก่อนขับรถในสภาพถนนเปียก ญี่ปุ่นเน้นมารยาทบนถนนสุด ๆ ครับ ใครจะขับรถที่นี่ต้องระวังมาก! เยอรมนี ขับเร็วได้ แต่ต้องมีวินัยสูง บน Autobahn บางช่วงไม่มีจำกัดความเร็ว แต่ห้ามขับช้าเกินไปหรือแช่ขวา เพราะอาจโดนปรับหรือถูกมองว่าหยุดรถโดยไม่จำเป็น ห้ามน้ำมันหมดบนทางหลวง เพราะถือว่าไม่วางแผนเดินทาง โทษมีค่าปรับถึง €70 ในย่านพักอาศัย หากไม่มีป้ายบอก ต้องให้ทางรถจากขวาก่อน (“Rechts vor links”) เยอรมนีเปิดโอกาสให้ขับเร็ว แต่เน้นวินัยและความรับผิดชอบขั้นสูง ฝรั่งเศส อุปกรณ์ต้องครบ เตรียมให้พร้อมทุกครั้งก่อนขับ ถึงแม้กฎหมายให้พก breathalyzer ส่วนตัว แต่อาจไม่มีบทลงโทษจริงแล้วในปัจจุบัน ต้องมีเสื้อสะท้อนแสงและป้ายสามเหลี่ยมฉุกเฉินติดรถ ห้ามเก็บในท้ายรถ ฝ่าฝืนปรับสูงถึงหลายร้อยยูโร ผู้ใช้แว่นสายตาต้องพกสำรองแว่นไว้ในรถเสมอ หากไม่มีอาจโดนปรับ ฝรั่งเศสเน้นอุปกรณ์ความปลอดภัยครบทุกคัน ใครขับต้องเช็กของให้เป๊ะ สวิตเซอร์แลนด์ & ลักเซมเบิร์ก เน้นความเรียบร้อยและสิ่งแวดล้อม ห้ามล้างรถในวันอาทิตย์โดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นวันพักผ่อน รวมถึงมีเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม รถทุกคันต้องติดตั้งที่ปัดน้ำฝน แม้ไม่มีกระจกหน้าก็ตาม เพื่อความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน กฎหมายบ้านเขาเคร่งครัด แม้รายละเอียดเล็กน้อยก็ไม่ละเลย! ไซปรัส ขับรถต้องสำรวมสุด ๆ ห้ามกินหรือดื่ม (แม้แต่ดื่มน้ำ) ขณะขับรถ ฝ่าฝืนโดนปรับทันที ถือเป็นการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย ห้ามยกมือโบกหรือทำท่ารุนแรงขณะขับรถ ฝ่าฝืนปรับเงิน เพราะถือว่ารบกวนสมาธิผู้อื่นบนถนน ขับรถที่ไซปรัสต้องนิ่ง เรียบร้อย ห้ามเผลอหยิบอะไรขึ้นมากินเด็ดขาด! สวีเดน, สโลวีเนีย, โครเอเชีย เน้นขับปลอดภัยแม้กลางวัน ต้องเปิดไฟหน้ารถ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกลางวัน กลางคืน หรืออากาศดีแค่ไหน ถือเป็นกฎหมายเพื่อเพิ่มการมองเห็นบนท้องถนน แม้แดดเปรี้ยงก็ต้องเปิดไฟ! ใครขับในประเทศเหล่านี้ห้ามลืมเด็ดขาด จีน วัฒนธรรมจราจรเฉพาะตัว กฎหมายเข้มสุด ห้ามหยุดรถชะลอหรือหยุดให้คนข้ามทางม้าลายในบางเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง ฝ่าฝืนโดนปรับทันที การจับสลากเพื่อซื้อรถใหม่ในเมืองใหญ่ เนื่องจากจำกัดปริมาณรถยนต์บนถนน ห้ามหยุดรถเพื่อให้คนข้ามทางม้าลายในบางเมือง (ต่างจากหลายประเทศ) ต้องเช็กกฎหมายท้องถิ่นให้ชัดเจน กฎหมายจีนซับซ้อนมาก ควรศึกษารายละเอียดล่วงหน้าก่อนขับ เดนมาร์ก กฎหมายสายโหด! ก่อนสตาร์ทรถ ต้องลงจากรถและตรวจใต้ท้องรถทุกครั้ง เพื่อป้องกันเด็กซ่อนหรือสัตว์เล็กอยู่ใต้ท้องรถ หากไม่ทำอาจมีโทษ ใครขับรถที่นี่ ต้องทำตามทุกขั้นตอนจริงจัง แม้จะดูแปลกตาก็ตาม! ออสเตรเลีย เน้นระเบียบและความรับผิดชอบ ห้ามทิ้งรถล็อกค้างไว้หรือเอามือลงจากหน้าต่างเกิน 3 เมตร แม้จะเดินกลับไปไม่ไกล อาจโดนปรับมากกว่าพันเหรียญ ห้ามโบกมือออกนอกหน้าต่างหรือปล่อยแขนพาดนอกรถ ฝ่าฝืนโดนปรับหนัก ขับรถที่ออสเตรเลีย ต้องเป๊ะทุกอย่าง ไม่งั้นเสียค่าปรับหนักมาก! ประเทศอื่น ๆ ที่มีกฎแปลกแต่เข้ม ดูไบ อูฐมีสิทธิ์ทางบนถนน ต้องให้ทางหากมีอูฐเดินมา ฟิลิปปินส์ เลขท้ายทะเบียน “1” หรือ “2” ห้ามขับในวันจันทร์บางเขต Манила อินเดีย ต้องมีใบรับรองยานยนต์ที่ผ่านมาตรฐานควบคุมมลพิษ เคล็ดลับก่อนขับต่างแดน ศึกษากฎหมายจราจรท้องถิ่นอย่างละเอียด เตรียมใบขับขี่สากลและเอกสารให้ครบ ตรวจสภาพรถและอุปกรณ์ฉุกเฉินให้พร้อม วางแผนเส้นทางและหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ขับรถอย่างมีสติ เคารพกฎทุกข้อเสมอ สรุป กฎหมายจราจรของแต่ละประเทศ เข้มงวดและไม่เหมือนกัน! หากคิดจะขับรถเที่ยว หรือ Road Trip ต่างประเทศ อย่าลืมศึกษากฎหมายก่อนเดินทาง เพื่อความปลอดภัยและไม่เสียค่าปรับโดยไม่รู้ตัวครับ! สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th
92 3 ส.ค. 2568, 03:03แอร์รถยนต์เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนแบบประเทศไทย แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ หลายคนอาจพบปัญหา แอร์รถยนต์ไม่เย็น หรือมีลมออกมาเบา ซึ่งเป็นปัญหากวนใจไม่น้อย ดังนั้น การ เช็คแอร์รถยนต์ อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในบทความนี้ IDDRIVES จะพาคุณไปรู้จักวิธีเช็คแอร์รถยนต์เบื้องต้น พร้อมคำแนะนำเบื้องต้นในการแก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยตัวเอง สัญญาณเตือนว่าแอร์รถยนต์มีปัญหา ก่อนจะลงมือเช็คแอร์รถยนต์ เราต้องรู้ก่อนว่าอาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าแอร์กำลังมีปัญหา สัญญาณที่พบบ่อย ได้แก่ แอร์รถยนต์ไม่เย็น หรือเย็นน้อยลง ลมแอร์ออกมาเบา แม้เปิดแรงสุด มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ออกมาจากช่องแอร์ มีเสียงดังผิดปกติ ขณะเปิดแอร์ น้ำแอร์ไหลภายในรถ หากพบอาการเหล่านี้ ควรเริ่มต้นตรวจเช็คทันที วิธีเช็คแอร์รถยนต์เบื้องต้น เช็คระดับลมแอร์ เริ่มต้นจากการเปิดแอร์ แล้วลองปรับระดับลมทุกระดับดูว่า มีแรงลมออกจากช่องแอร์หรือไม่ หากลมอ่อนผิดปกติ อาจเกิดจากกรองแอร์อุดตันหรือพัดลมแอร์มีปัญหา เช็คความเย็นของแอร์ สังเกตว่าลมที่ออกมาจากช่องแอร์มีความเย็นหรือไม่ หากแอร์ไม่เย็น อาจเกิดจากน้ำยาแอร์หมดหรือคอมเพรสเซอร์มีปัญหา เช็คกลิ่นจากช่องแอร์ หากเปิดแอร์แล้วมีกลิ่นเหม็นอับ อาจเกิดจากเชื้อราหรือสิ่งสกปรกสะสมในกรองแอร์ หรือในท่อแอร์ ควรรีบทำความสะอาด เช็คเสียงขณะเปิดแอร์ ถ้าได้ยินเสียงแปลก ๆ เช่น เสียงหอน เสียงกึกกัก อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าพัดลมแอร์หรือคอมเพรสเซอร์เริ่มมีปัญหา ตรวจสอบน้ำหยดใต้ท้องรถ ปกติแล้ว หากแอร์ทำงานดี จะมีน้ำหยดเล็กน้อยใต้ท้องรถ หากไม่มีเลย อาจหมายถึงท่อน้ำทิ้งตัน หรือระบบแอร์มีปัญหา สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์รถยนต์ไม่เย็น น้ำยาแอร์รั่วหรือหมด ปัญหานี้พบได้บ่อยสุด เมื่อไม่มีน้ำยาแอร์ ระบบจะไม่เย็น ควรให้ช่างตรวจเช็คว่ามีรอยรั่วตรงไหนหรือไม่ คอมเพรสเซอร์แอร์เสีย หากคอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติ จะทำให้แอร์ไม่เย็น ควรเปลี่ยนหรือซ่อมโดยช่างเฉพาะทาง พัดลมแอร์ไม่ทำงาน หากพัดลมเสียหรือหมุนช้า อาจทำให้ความเย็นลดลง ควรเช็คหรือเปลี่ยนพัดลมทันที กรองแอร์สกปรก กรองแอร์มีหน้าที่กรองฝุ่นและอากาศ หากอุดตัน จะทำให้ลมออกน้อยและแอร์ไม่เย็น ควรเปลี่ยนหรือทำความสะอาดทุก 10,000 - 15,000 กิโลเมตร คำแนะนำเพิ่มเติม ควรตรวจเช็คแอร์รถยนต์อย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือทุกครั้งที่รู้สึกว่าแอร์ทำงานผิดปกติ หลีกเลี่ยงการเปิดแอร์ขณะรถจอดนาน ๆ ในที่ร้อนจัด เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก เปลี่ยนกรองแอร์สม่ำเสมอ เพื่อให้แอร์สะอาดและเย็นเต็มประสิทธิภาพ สรุป การ เช็คแอร์รถยนต์ เป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจ เพราะแอร์รถยนต์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสบาย แต่ยังช่วยลดความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ด้วย หากคุณรู้จักวิธีเช็คเบื้องต้น ก็สามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นได้เอง และหากพบปัญหาที่ซับซ้อน ควรรีบปรึกษาช่างทันที ดูแลแอร์รถยนต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้แอร์เย็นสดชื่นทุกการเดินทาง! สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th
57 3 ส.ค. 2568, 06:21อุบัติเหตุบนท้องถนน ไม่ได้เกิดจากโชคร้ายเสมอไป การขับรถเป็นกิจกรรมที่เราทำกันทุกวัน แต่เชื่อหรือไม่ว่า หลายคนอาจมี พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ โดยไม่รู้ตัว บางสิ่งดูเหมือนไม่มีผลอะไรในขณะนั้น แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุได้อย่างไม่คาดคิด ในบทความนี้ IDDRIVER ขอพาคุณมารู้จักกับ 5 พฤติกรรมขับรถที่เสี่ยงอุบัติเหตุ ที่คุณอาจเผลอทำอยู่เป็นประจำ เพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงได้ทันเวลา และขับขี่อย่างปลอดภัยทุกเส้นทาง 1. ขับเร็วเกินกำหนด แม้ถนนโล่ง หลายคนมักคิดว่า “ขับเร็วแค่ไหนก็ได้ ถ้าควบคุมรถอยู่” แต่ความจริงคือการ ขับรถเร็วเกินกำหนด เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับสิ่งไม่คาดคิด เช่น คนตัดหน้า รถเบรกกระทันหัน หรือสภาพถนนที่เปลี่ยนแปลง ขับรถอย่างปลอดภัย ควรใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด และปรับตามสภาพถนนจริง 2. ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ แม้จะใช้สมอลทอล์ก หรือแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแป๊บเดียว แต่การละสายตาจากถนนเพียง 2–3 วินาที ก็เพียงพอให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ เช่น รถเบรกกะทันหัน หรือชนท้ายรถคันหน้า พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด หากจำเป็นควรจอดรถในที่ปลอดภัยก่อนใช้งานโทรศัพท์ 3. เปลี่ยนเลนกระทันหันโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ไฟเลี้ยวเป็นสัญญาณพื้นฐานที่มีไว้เพื่อสื่อสารกับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น การเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวโดย ไม่เปิดไฟเลี้ยว ถือเป็นการสร้างความสับสน เสี่ยงต่อการถูกรถอื่นชน หรือเบรกไม่ทัน การขับรถอย่างปลอดภัยต้องมี “น้ำใจและวินัยจราจร” รู้จักใช้ไฟเลี้ยวทุกครั้งที่เปลี่ยนทิศทาง 4. ขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป หนึ่งในพฤติกรรมที่หลายคนมองข้ามคือ การขับรถจี้ท้าย รถคันหน้าโดยไม่เว้นระยะห่างที่เหมาะสม หากรถคันหน้าเบรกกะทันหัน คุณอาจไม่มีเวลาพอที่จะหยุดรถ ทำให้เกิดอุบัติเหตุชนท้าย เว้นระยะห่างตามกฎหมาย (อย่างน้อย 2 วินาที) จะช่วยให้คุณมีเวลาตัดสินใจและเบรกได้อย่างปลอดภัย 5. ขับรถในขณะง่วงหรืออ่อนเพลีย การขับรถในขณะที่ง่วงนอน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลโดยตรงต่อ ความสามารถในการตัดสินใจและการควบคุมรถ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการหลับในและเกิดอุบัติเหตุสูงมาก หากคุณรู้สึกง่วง ควรหยุดพักทันที หรือหาเครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว และหลีกเลี่ยงการขับรถทางไกลในช่วงเวลากลางคืน IDDRIVER สนับสนุนการขับขี่อย่างปลอดภัย IDDRIVER ไม่ใช่แค่ตัวแทนในการต่อภาษี พ.ร.บ. หรือประกันภัยรถยนต์ แต่ยังมุ่งมั่นในการให้ความรู้ด้านการขับขี่และความปลอดภัยบนท้องถนน เราเชื่อว่า “ความปลอดภัยเริ่มต้นที่ตัวคุณ” และขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม พฤติกรรมขับขี่อย่างรับผิดชอบ หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการขับขี่อย่างปลอดภัย หรือใช้บริการอบรมความปลอดภัยในการขับรถสำหรับองค์กร/พนักงานขับรถ เปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้ เพื่อความปลอดภัยทุกวัน อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกวัน และในหลายครั้ง เกิดจาก “พฤติกรรมเล็ก ๆ” ที่เรามองข้าม การปรับพฤติกรรมขับขี่เพียงเล็กน้อย เช่น ลดความเร็ว ใช้ไฟเลี้ยว และเว้นระยะห่าง ก็สามารถลดความเสี่ยงได้มากกว่าที่คุณคิด อย่าปล่อยให้ “ความเคยชิน” กลายเป็น “ความเสี่ยง” เปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้คุณและทุกคนปลอดภัย ด้วยความห่วงใยจาก IDDRIVER สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th
64 3 ส.ค. 2568, 05:56น้ำท่วมเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่ และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีรถยนต์ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม การตรวจเช็คสภาพรถหลังน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้รถของคุณสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย และยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในอนาคตได้อีกด้วย ในบทความนี้ บริษัทไอดีไดร์ฟ จะพาเรามาดูวิธีการเช็คสภาพรถหลังน้ำท่วม รวมถึงสิ่งที่ควรทำหากพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจมน้ำของรถ ตรวจสอบสภาพภายนอกของรถ สิ่งแรกที่ควรทำคือการตรวจสอบสภาพภายนอกของรถให้ละเอียด ตั้งแต่แชสซีถึงปีกและประตู เมื่อรถได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จะมีโอกาสที่สีของรถอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือเกิดการกัดกร่อนจากน้ำ หากพบรอยผุพังที่ใด ควรนำรถไปซ่อมทันทีเพื่อป้องกันความเสียหายที่รุนแรงขึ้น ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า เครื่องยนต์เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในรถยนต์ การตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์หลังน้ำท่วมจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดความเสียหายระยะยาว เช่น การเกิดสนิมหรือการลัดวงจรจากน้ำที่ไหลเข้าไปในระบบไฟฟ้า ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำขังอยู่ในห้องเครื่องและไม่พบสนิมที่อาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ การตรวจเช็คการทำงานของระบบไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบ ECU (Electronic Control Unit) หรือเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ควรให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจเช็คอย่างละเอียด ตรวจสอบระบบเบรก ระบบเบรกเป็นอีกส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่เพื่อความปลอดภัย หลังจากน้ำท่วม ควรตรวจเช็คการทำงานของระบบเบรก ว่ายังคงทำงานได้ตามปกติหรือไม่ เนื่องจากน้ำอาจเข้าไปในเบรกและทำให้ประสิทธิภาพการเบรกลดลงได้ หากพบปัญหาการเบรกไม่ค่อยดี หรือพบคราบน้ำที่มีสนิม ควรรีบตรวจสอบและซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการขับขี่ ตรวจสอบระบบการระบายความร้อน รถยนต์ที่จมน้ำอาจได้รับผลกระทบจากการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ระบบหล่อเย็นหรือหม้อน้ำอาจได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนเกินไปหรือเกิดการระเบิดได้ ควรตรวจเช็คหม้อน้ำและระบบหล่อเย็นให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายในอนาคต ตรวจสอบภายในห้องโดยสาร การตรวจเช็คสภาพภายในห้องโดยสารเป็นสิ่งที่ควรทำโดยเฉพาะเมื่อรถจมน้ำ ภายในห้องโดยสารมีส่วนที่เสี่ยงต่อการได้รับความเสียหายจากน้ำ เช่น พรม, เบาะ, และระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ภายในรถ ควรตรวจเช็คว่าไม่มีน้ำขังที่สามารถทำให้เกิดกลิ่นอับชื้น หรือทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ตรวจเช็คระบบอากาศ ระบบปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศในรถก็เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้ น้ำอาจทำให้ระบบแอร์เสียหายได้ ควรตรวจสอบว่าเครื่องฟอกอากาศทำงานได้ตามปกติหรือไม่ และไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ การบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาหลังน้ำท่วม หลังจากการตรวจเช็คสภาพรถแล้ว หากพบความเสียหายหรืออุปกรณ์บางอย่างที่ทำงานผิดปกติ ควรนำรถไปให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจซ่อมแซม อาจจะต้องทำการล้างทำความสะอาดหรือซ่อมแซมระบบที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลรถหลังน้ำท่วม รีบทำการตรวจเช็คทันทีหลังจากน้ำลด: หากปล่อยไว้นานอาจทำให้รถได้รับความเสียหายมากขึ้น ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์หากมีน้ำอยู่ในระบบ: การสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะที่มีน้ำอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อเครื่องยนต์ ให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจเช็ค: การให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คสภาพรถเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของคุณ สรุป การเช็คสภาพรถหลังน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน และการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากน้ำท่วม ควรตรวจสอบเครื่องยนต์, ระบบไฟฟ้า, เบรก, ระบบการระบายความร้อน และอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในรถอย่างละเอียด หากพบปัญหา ควรนำรถไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจซ่อมแซมทันที การดูแลรถหลังน้ำท่วมไม่เพียงแต่ช่วยให้รถของคุณกลับมาใช้งานได้ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในอนาคตได้อีกด้วย สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th
62 3 ส.ค. 2568, 03:55