บทความและความรู้


ข้อดีของการอบรม TSM : Transport Safety Manager

การอบรม Transport Safety Manager (TSM) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนาความรู้และทักษะเกี่ยวกับการจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง ซึ่งมีประโยชน์มากมายทั้งต่อองค์กรและบุคคลที่เข้ารับการอบรม โดยประโยชน์หลักๆ มีดังนี้ 1. เพิ่มความรู้ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง เข้าใจหลักการและมาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าและคน เรียนรู้กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ. ขนส่งทางบก เข้าใจวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 2. ลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย สามารถวิเคราะห์และลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ วางแผนและกำหนดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงมาตรฐานการทำงานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขนส่ง จัดการการเดินรถให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ลดต้นทุนจากอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น บริหารทีมงานขับรถให้ทำงานได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัย 4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ลดปัญหาการร้องเรียนหรือปัญหาทางกฎหมายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ส่งเสริมให้บริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย 5. เพิ่มโอกาสก้าวหน้าในสายอาชีพ ผู้ที่ผ่านการอบรมสามารถนำความรู้ไปใช้เพื่อพัฒนาตนเองและองค์กร เปิดโอกาสให้เป็นที่ต้องการของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการขนส่ง อาจได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น เช่น ผู้จัดการความปลอดภัย หรือหัวหน้าทีมขนส่ง การอบรม TSM (Transport Safety Manager) เป็นหลักสูตรที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง ช่วยลดอุบัติเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร รวมถึงเปิดโอกาสให้กับผู้เข้ารับการอบรมในสายอาชีพด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

164 25 เม.ย. 2568, 15:48

ทำไมต้องอบรม Transport Safety Manager : TSM ?

ความปลอดภัยในการขนส่งเป็นหัวใจสําคัญของทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าและการเดินทางของบุคคล หากไม่มีระบบบริหารจัดการความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ง่าย ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน บุคลากร และชื่อเสียงขององค์กร ดังนั้น ตําแหน่ง Transport Safety Manager (TSM) จึงมีบทบาทสําคัญในการควบคุม ดูแล และจัดการระบบความปลอดภัยให้เป็นไปตามมาตรฐาน แต่การเป็น ผู้จัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง ที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเฉพาะด้าน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ผ่านการอบรมที่เหมาะสม แล้วทําไมถึงต้องเข้ารับการอบรม TSM? มาหาคําตอบกัน 1. เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของ Transport Safety Manager การเป็น TSM ไม่ได้หมายถึงแค่การตรวจสอบยานพาหนะหรือกำกับดูแลพนักงานขับรถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนากลยุทธ์ด้านความปลอดภัย การวางแผนมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ การบริหารความเสี่ยง และการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การอบรมช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง 2. ลดอุบัติเหตุและความเสี่ยงในองค์กร การอบรมช่วยให้ TSM สามารถนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้เพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระบบขนส่ง ซึ่งรวมถึงการบำรุงรักษายานพาหนะอย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจสอบความพร้อมของพนักงานขับรถ และการจัดการปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ 3. ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย การขนส่งต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายจราจร กฎหมายแรงงาน และมาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่ง การอบรมช่วยให้ TSM เข้าใจข้อกำหนดเหล่านี้และสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร 4. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย TSM ที่ผ่านการอบรมสามารถนำเทคนิคการจัดการความปลอดภัยที่ทันสมัยมาใช้ เช่น การใช้ระบบติดตาม GPS การวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุ และการบริหารจัดการพฤติกรรมของพนักงานขับรถ ทำให้สามารถวางแผนและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร การปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอุบัติเหตุในระยะยาว TSM ที่ผ่านการอบรมสามารถสื่อสารและถ่ายทอดความรู้ด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานทุกระดับ เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย 6. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความสามารถในการแข่งขันขององค์กร องค์กรที่มีระบบบริหารความปลอดภัยที่ดีมักได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า คู่ค้า และหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันในตลาด การอบรม Transport Safety Manager (TSM) เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่เพียงแต่ช่วยให้ TSM มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการบริหารจัดการความปลอดภัย แต่ยังช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนในองค์กร หากคุณต้องการให้การขนส่งในองค์กรของคุณมีความปลอดภัยสูงสุด อย่าละเลยการอบรม TSM เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้! สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

162 25 เม.ย. 2568, 20:31

เหตุใดถึงต้องต่อภาษีแทรกเตอร์ และขั้นตอนการต่อภาษีต้องทำอย่างไร

เหตุใดถึงต้องต่อภาษีแทรกเตอร์ และขั้นตอนการต่อภาษีต้องทำอย่างไร สวัสดีครับพี่น้องชาวเกษตรกรทุกท่าน หลายๆท่านที่เพิ่งซื้อแทรกเตอร์คูโบต้าคันแรก อาจไม่ทราบว่าแทรกเตอร์ ของเราก็ต้องมีการเสียภาษี และ พ.ร.บ. เหมือนรถยนต์เลยนะครับ หรือบางท่านที่ซื้อแทรกเตอร์มานานแล้วอาจจะลืมต่อภาษี และ พ.ร.บ. ประจำปี วันนี้ผมมีเนื้อหาดี ๆ เกี่ยวกับการต่อภาษี และ พ.ร.บ. มาให้ทุกท่านทราบกันครับ  ความสำคัญของการต่อภาษีรถ กฏหมายบังคับให้ทุกคนที่มีรถเอาไว้ในครอบครองต้องดำเนินการเสียภาษีประจำปี (พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522) ป้ายภาษีเป็นหลักฐานการแสดงต่อหน่วยงานรัฐว่าทำตามกฎหมายถูกต้อง ไม่ต้องถูกปรับ การต่อภาษีรถเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณาความคุ้มครองจากผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.)   ผลกระทบจากการไม่ต่อภาษี ผู้ครอบครองรถถือเป็นผู้มีหน้าที่ในการชำระค่าภาษีรถประจำปี ซึ่งหากไม่ชำระภายในกำหนด จะมีผลดังนี้ กรณีค้างชำระภาษีรถประจำปีไม่ถึงสามปี : นายทะเบียน (ขนส่ง) มีอำนาจที่จะไม่รับดำเนินการด้านทะเบียนใด ๆ จนกว่าจะเสียภาษีที่ค้างชำระและเงินเพิ่มให้ครบถ้วน กรณีค้างชำระภาษีรถประจำปีติดต่อกันครบสามปี : ทะเบียนรถจะถูกระงับไป จะต้องนำคู่มือจดทะเบียนรถไปแสดงต่อนายทะเบียน เพื่อบันทึกหลักฐานการระงับทะเบียนรถภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง หากจะต้องดำเนินการเกี่ยวกับเล่มทะเบียน จะต้องชำระค่าภาษีที่ค้างสามปี และเงินเพิ่ม รวมถึงต้องดำเนินการขอจดทะเบียนรถใหม่ต่อไป ส่วนกรณีที่ผู้ครอบครองกระทำผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ใช้รถที่ถูกระงับทะเบียน หรือใช้รถที่ไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษีรถประจำปี ผู้ครอบครองจะต้องเสียค่าปรับด้วยตนเอง   ขั้นตอนการต่อภาษี นำเล่มทะเบียน หรือ สำเนาเล่มทะเบียน และ พ.ร.บ. ไปยื่นเสียภาษีที่กรมการขนส่งทั่วประเทศ สามารถต่อภาษีล่วงหน้าได้ 90 วันก่อนครบอายุภาษี (สำหรับแทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว และรถขุดคูโบต้า ไม่อยู่ในข่ายต้องตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี) นี่ก็เป็นความสำคัญในการต่อภาษีประจำปี เพื่อให้เราสามารถใช้งานแทรกเตอร์ของเราได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนะครับ ค่าใช้จ่ายสำหรับการต่อภาษีแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวนวดข้าวที่ใช้ในการเกษตร ก็ไม่ได้สูงเลยครับ เพียงแค่คันละ 50 บาทต่อปีเท่านั้น (พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522) ถูกกว่าค่าอาหารบางมื้อของเราซะอีกครับ ดังนั้นพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกท่านอย่าลืมไปต่อภาษีให้ถูกต้องกันนะครับ สำหรับเรื่อง พ.ร.บ. เดี๋ยวผมมาอธิบายต่อในครั้งถัดไปนะครับ สำหรับครั้งนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.siamkubota.co.th/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

144 24 เม.ย. 2568, 03:22

พรบ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล จากอุบัติเหตุทางรถยนต์

อุบัติเหตุ พ.ร.บ.คุ้มครองอย่างไร กฎหมายบังคับให้รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ทุกคันทุกประเภท จะต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ "เรามักเรียกว่า พ.ร.บ." ซึ่งคุ้มครองทุกคนที่ประสบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงคนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต บาดเจ็บ ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. นี้เป็นค่ารักษาพยาบาล หรือค่าปลงศพแล้วแต่กรณี แต่ไม่รวมค่าเสียหายของทรัพย์สิน ความคุ้มครอง ค่าเสียหายเบื้องต้น ไม่ต้องรอผลพิสูจน์ว่าฝ่ายใดชน หรือฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก-ผิด กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามค่ารักษาจริงสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น 35,000 บาท กรณีเสียชีวิตหลังจากรักษาพยาบาล จะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท และค่าปลงศพอีกจำนวน 35,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 65,000 บาท ค่าสินไหมทดแทน คือเงินชดเชยที่ฝ่ายถูกจะได้รับ หลังการพิสูจน์ถูกผิดแล้ว ค่ารักษาพยาบาล จ่ายตามค่ารักษาจริงสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพอย่างถาวร หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ชดเชย 200,000 - 500,000 บาท (กรณีสูญเสียอวัยวะ เป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) กรณีเสียชีวิต ชดเชย 500,000 บาท ค่าชดเชยกรณีเป็นผู้ป่วยใน 200 บาทต่อวัน แต่ไม่เกิน 20 วัน การขอรับค่าเสียหาย ผู้ประสบภัยจากรถ หรือทายาท ยื่นเรื่องขอรับค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้โรงพยาบาลเป็นผู้รับแทนก็ได้ ค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นจ่ายตามจริงไม่เกิน 30,000 บาท มี สิทธิ์รับได้ภายใน 7 วัน นับจากวันร้องขอจากบริษัทประกันภัยโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด ระยะเวลาในการขอใช้สิทธิ์ พ.ร.บ.ภายใน 180 วันหลังจากวันที่เกิดเหตุ หลักฐานที่ต้องเตรียม สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประสบภัยและเจ้าของรถ สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประสบภัย สำเนาบันทึกประจำวันตำรวจ สำเนาหนังสือจดทะเบียนรถ ตารางกรมธรรม์ประกันภัย ใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาล กรณีอุบัติเหตุจากรถดังต่อไปนี้ ชนแล้วหนี รถที่ไม่มีประกันภัย และเจ้าของรถไม่ยอมจ่าย รถที่ถูกลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ไม่มีผู้แสดงตนเป็นเจ้าของรถและรถไม่มีประกันภัย บริษัทประกันภัยไม่จ่ายค่าเสียหายหรือจ่ายไม่ครบจำนวน กรณีดังกล่าวข้างต้น ผู้ประสบภัยขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น 30,000 บาท/คน ได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานพาณิชย์ทุกจังหวัด ประโยชน์หลักของการทำ พ.ร.บ. คือการดูแลค่ารักษาพยาบาลคนเจ็บ เมื่อเกิดเหตุทันที "อย่าลืมทำ และอย่าลืมต่ออายุประกันภัยรถกันนะคะ"   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.khonkaenram.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

194 25 เม.ย. 2568, 22:43

ความผิดเกี่ยวกับทะเบียนรถ ไม่ต่อภาษี ดัดแปลง สวมทะเบียน โดนค่าปรับเท่าไหร่?

ทุกคนที่ใช้รถยนต์นั้นมีสิ่งที่จำเป็นต้องให้ความสนใจนั่นก็คือ ทะเบียนรถ เพราะมีกฎหมายตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ หมวดที่ 1 ว่าด้วย การจดทะเบียน เครื่องหมาย และการใช้รถ ในมาตรา 6 ระบุไว้ว่ารถที่ห้ามมิให้นำมาใช้ได้แก่ รถที่ยังมิได้จดทะเบียน รถที่ถูกเพิกถอนการจดทะเบียน รถที่ยังมิได้เสียภาษีประจำปี รถที่แจ้งการไม่ใช้รถ รถที่ทะเบียนระงับ เห็นได้ชัดว่าทะเบียนรถคือเรื่องสำคัญที่ผู้ที่จะใช้รถยนต์ทุกคนนั้นจะต้องมีหน้าที่ตรวจสอบรถยนต์ของตัวเองว่าได้ทำการจดทะเบียนถูกต้องเรียบร้อยหรือไม่? เสียภาษีประจำปีครบถ้วนตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเรียบร้อยหรือยัง? ซึ่งหลายๆคนคงไม่อยากจะต้องมีปัญหาเวลาเจอด่านตรวจ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเข้ามาตรวจสอบรถยนต์ของเรา ดังนั้นจึงควรจะจัดการเรื่องทะเบียนรถให้ถูกต้องเรียบร้อยก่อนที่เราจะนำรถไปใช้งาน ในส่วนของการกระทำผิดเกี่ยวกับทะเบียนรถมีทั้งกรณี ใช้รถที่ไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้อง, รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน, ไม่ได้เสียภาษีรถยนต์ให้เรียบร้อยตามกำหนด หรือความผิดที่หนักไปกว่านั้นคือ กรณีของการนำเอาทะเบียนรถคันอื่นมาใช้กับรถอีกคันหนึ่งหรือที่เรียกกันว่าสวมทะเบียน การปกปิด อำพราง ดัดแปลงแผ่นป้ายทะเบียน รวมไปถึงการใช้ทะเบียนปลอม ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีโทษสูงสุดทั้งจำทั้งปรับ งั้นเราไปดูกันดีกว่าว่าบทลงโทษของแต่ละกรณีนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง… บทลงโทษความผิดเกี่ยวกับทะเบียนรถมีดังนี้ ใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ใช้รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน หรือไม่ได้แสดงแผ่นป้ายทะเบียนให้ถูกต้อง อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท ใช้รถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีตามระยะเวลาที่กำหนด อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท ขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาตขับรถและสําเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถ อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้สําหรับรถคันหนึ่งกับรถอีกคันหนึ่ง หรือ สวมทะเบียน อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท เปลี่ยนแปลงหรือปิดบังทั้งหมดหรือบางส่วนของทะเบียนรถ อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท ใช้ะทะเบียนรถที่ทำขึ้นเองโดยไม่มีสิทธิ หรือใช้ทะเบียนปลอม (ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม) อัตราโทษ : จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

279 25 เม.ย. 2568, 21:56


Scroll to Top