บทความและความรู้


ไขข้อสงสัย! ป้ายจราจรที่มักเข้าใจผิด

การขับขี่บนท้องถนนสิ่งที่สำคัญต่อผู้ขับขี่ช่วยให้ขับขี่ปลอดภัยอีกอย่างหนึ่งคือ ป้ายจราจรเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการจราจรและรักษาความปลอดภัยบนท้องถนน แต่หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของป้ายบางชนิด ซึ่งอาจนำไปสู่การขับขี่ที่ผิดกฎหมายและเกิดอุบัติเหตุได้ ในบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับป้ายจราจรที่มักเข้าใจผิดกันบ่อยๆ วันนี้เราไอดีไดรฟ์ โรงเรียนสอนขับรถจะพาทุกคุณไปทำความรู้จักป้ายจราจรกันค่ะ 1. ป้ายหยุด (Stop Sign) ป้ายหยุดเป็นป้ายที่มีความสำคัญมากที่สุดป้ายหนึ่ง เพราะบังคับให้ผู้ขับขี่หยุดรถก่อนที่จะข้ามทางแยกหรือทางเดินเท้า อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถชะลอความเร็วลงแทนที่จะหยุดรถได้ ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 2. ป้ายห้ามเลี้ยวซ้าย (No Left Turn Sign) ป้ายห้ามเลี้ยวซ้ายเป็นป้ายที่ห้ามผู้ขับขี่เลี้ยวซ้ายจากทางแยกหรือทางเดินเท้า อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถเลี้ยวซ้ายได้หากไม่มีรถสัญจรมาจากทางตรงข้าม ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 3. ป้ายห้ามเลี้ยวขวา (No Right Turn Sign) ป้ายห้ามเลี้ยวขวาเป็นป้ายที่ห้ามผู้ขับขี่เลี้ยวขวาจากทางแยกหรือทางเดินเท้า อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถเลี้ยวขวาได้หากไม่มีรถสัญจรมาจากทางตรงข้าม ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 4. ป้ายห้ามกลับรถ (No U-Turn Sign) ป้ายห้ามกลับรถเป็นป้ายที่ห้ามผู้ขับขี่กลับรถบนถนนเส้นนั้น อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถกลับรถได้หากไม่มีรถสัญจรมาจากทางตรงข้าม ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 5. ป้ายห้ามจอด (No Parking Sign) ป้ายห้ามจอดเป็นป้ายที่ห้ามผู้ขับขี่จอดรถบริเวณนั้น อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถจอดรถได้ชั่วคราวหรือจอดรถได้หากไม่มีรถสัญจรมาจากทางตรงข้าม ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจถูกปรับหรือลากรถได้ 6. ป้ายจำกัดความเร็ว (Speed Limit Sign) ป้ายจำกัดความเร็วเป็นป้ายที่กำหนดความเร็วสูงสุดที่ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้บนถนนเส้นนั้น อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถขับขี่ได้เร็วกว่าความเร็วที่กำหนดหากไม่มีรถสัญจรมาจากทางตรงข้าม ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 7. ป้ายทางแยก (Intersection Sign) ป้ายทางแยกเป็นป้ายที่เตือนผู้ขับขี่ว่ากำลังจะเข้าสู่ทางแยก ซึ่งอาจมีรถสัญจรมาจากทางอื่น อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถขับขี่ผ่านทางแยกได้โดยไม่ต้องระวังรถสัญจรจากทางอื่น ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 8. ป้ายทางเดินเท้า (Crosswalk Sign) ป้ายทางเดินเท้าเป็นป้ายที่เตือนผู้ขับขี่ว่ามีทางเดินเท้าอยู่ข้างหน้า และต้องให้ทางคนเดินเท้าข้ามถนน อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถขับขี่ผ่านทางเดินเท้าได้โดยไม่ต้องให้ทางคนเดินเท้า ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 9. ป้ายทางลาดชัน (Steep Grade Sign) ป้ายทางลาดชันเป็นป้ายที่เตือนผู้ขับขี่ว่าถนนข้างหน้าเป็นทางลาดชัน ซึ่งอาจทำให้รถเสียการควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถขับขี่ผ่านทางลาดชันได้โดยไม่ต้องระวัง ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ 10. ป้ายทางโค้ง (Curve Sign) ป้ายทางโค้งเป็นป้ายที่เตือนผู้ขับขี่ว่าถนนข้างหน้าเป็นทางโค้ง ซึ่งอาจทำให้รถเสียการควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถขับขี่ผ่านทางโค้งได้โดยไม่ต้องลดความเร็ว ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากป้ายจราจรที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีป้ายจราจรอื่นๆ อีกมากมายที่ผู้ขับขี่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและไม่ผิดกฎหมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

244 16 มิ.ย. 2568, 04:04

เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปเรียนขับรถ

การตัดสินใจเรียนขับรถเป็นก้าวสำคัญที่เปิดประตูสู่โลกแห่งอิสระและการเดินทางที่สะดวกสบาย แต่ก่อนที่คุณจะก้าวเท้าเข้าสู่โรงเรียนสอนขับรถ คุณได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับประสบการณ์นี้แล้วหรือยัง? การเรียนขับรถไม่ใช่แค่การเรียนรู้เทคนิคการควบคุมรถเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้กฎจราจร การตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ และการสร้างความมั่นใจในการขับขี่อีกด้วย วันนี้ โรงเรียนสอนขับรถไอดีไดร์ฟ จะเป็นเหมือนเข็มทิศนำทาง ให้คุณได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ก่อนที่จะเริ่มต้นการเรียนขับรถอย่างจริงจัง เราจะพาคุณไปสำรวจสิ่งที่ควรพิจารณา ตั้งแต่การเลือกโรงเรียนสอนขับรถที่เหมาะสม การเตรียมเอกสารที่จำเป็น ไปจนถึงการสร้างทัศนคติที่ถูกต้องในการเรียนรู้ การเรียนขับรถเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ด้วยการเตรียมตัวที่ดี คุณจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ขับขี่ที่มีความรับผิดชอบบนท้องถนน 1. การเตรียมความพร้อมทางร่างกาย: พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ร่างกายและสมองของคุณพร้อมสำหรับการเรียนรู้ การขับรถต้องใช้สมาธิและความตื่นตัวสูง หากคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้สมาธิสั้นลงและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: รับประทานอาหารเช้าและอาหารกลางวันที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ อาหารที่ดีจะช่วยให้คุณมีสมาธิและเรียนรู้ได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรืออาหารที่ทำให้ง่วงนอน ดูแลสุขภาพ: หากคุณมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มเรียนขับรถ และแจ้งให้ครูผู้สอนทราบถึงโรคประจำตัวของคุณ เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม 2. การเตรียมความพร้อมทางจิตใจ: เตรียมใจให้พร้อม: การเรียนขับรถอาจทำให้คุณรู้สึกประหม่าหรือกังวลได้ เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเช่นนั้น พยายามทำใจให้สบายและผ่อนคลาย คิดในแง่บวก และเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น: อ่านหนังสือหรือดูวิดีโอเกี่ยวกับการขับรถเบื้องต้น เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎจราจร สัญญาณจราจร และการควบคุมรถ การมีความรู้เบื้องต้นจะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ตั้งใจเรียนรู้: ตั้งใจฟังคำแนะนำของครูผู้สอน และถามคำถามเมื่อมีข้อสงสัย อย่ากลัวที่จะถามคำถาม เพราะการถามจะช่วยให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้น 3. การเตรียมเอกสาร: บัตรประชาชน: เตรียมบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อใช้ในการลงทะเบียนเรียนและยื่นขอใบอนุญาตขับขี่ ใบรับรองแพทย์: บางสถาบันสอนขับรถอาจต้องการใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่าคุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและเหมาะสมสำหรับการขับรถ ตรวจสอบกับสถาบันสอนขับรถที่คุณเลือกเพื่อยืนยันว่าจำเป็นต้องใช้หรือไม่ 4. การเตรียมความรู้: ศึกษาหลักสูตร: ศึกษาหลักสูตรการเรียนขับรถของสถาบันที่คุณเลือก เพื่อทราบถึงเนื้อหาและขั้นตอนการเรียน ศึกษากฎจราจร: ศึกษากฎจราจรเบื้องต้น เพื่อให้เข้าใจถึงกฎระเบียบในการใช้รถใช้ถนน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับรถ: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนประกอบและการทำงานของรถยนต์เบื้องต้น การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณเรียนขับรถได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ ขอให้คุณสนุกกับการเรียนรู้และขับรถอย่างปลอดภัยนะคะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

358 16 มิ.ย. 2568, 23:03

ข้อดีของการอบรม TSM : Transport Safety Manager

การอบรม Transport Safety Manager (TSM) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนาความรู้และทักษะเกี่ยวกับการจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง ซึ่งมีประโยชน์มากมายทั้งต่อองค์กรและบุคคลที่เข้ารับการอบรม โดยประโยชน์หลักๆ มีดังนี้ 1. เพิ่มความรู้ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง เข้าใจหลักการและมาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าและคน เรียนรู้กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ. ขนส่งทางบก เข้าใจวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 2. ลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย สามารถวิเคราะห์และลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ วางแผนและกำหนดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงมาตรฐานการทำงานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขนส่ง จัดการการเดินรถให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ลดต้นทุนจากอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น บริหารทีมงานขับรถให้ทำงานได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัย 4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ลดปัญหาการร้องเรียนหรือปัญหาทางกฎหมายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ส่งเสริมให้บริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย 5. เพิ่มโอกาสก้าวหน้าในสายอาชีพ ผู้ที่ผ่านการอบรมสามารถนำความรู้ไปใช้เพื่อพัฒนาตนเองและองค์กร เปิดโอกาสให้เป็นที่ต้องการของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการขนส่ง อาจได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น เช่น ผู้จัดการความปลอดภัย หรือหัวหน้าทีมขนส่ง การอบรม TSM (Transport Safety Manager) เป็นหลักสูตรที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง ช่วยลดอุบัติเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร รวมถึงเปิดโอกาสให้กับผู้เข้ารับการอบรมในสายอาชีพด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

304 16 มิ.ย. 2568, 15:38

ทำไมต้องอบรม Transport Safety Manager : TSM ?

ความปลอดภัยในการขนส่งเป็นหัวใจสําคัญของทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าและการเดินทางของบุคคล หากไม่มีระบบบริหารจัดการความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ง่าย ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน บุคลากร และชื่อเสียงขององค์กร ดังนั้น ตําแหน่ง Transport Safety Manager (TSM) จึงมีบทบาทสําคัญในการควบคุม ดูแล และจัดการระบบความปลอดภัยให้เป็นไปตามมาตรฐาน แต่การเป็น ผู้จัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง ที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเฉพาะด้าน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ผ่านการอบรมที่เหมาะสม แล้วทําไมถึงต้องเข้ารับการอบรม TSM? มาหาคําตอบกัน 1. เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของ Transport Safety Manager การเป็น TSM ไม่ได้หมายถึงแค่การตรวจสอบยานพาหนะหรือกำกับดูแลพนักงานขับรถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนากลยุทธ์ด้านความปลอดภัย การวางแผนมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ การบริหารความเสี่ยง และการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การอบรมช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง 2. ลดอุบัติเหตุและความเสี่ยงในองค์กร การอบรมช่วยให้ TSM สามารถนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้เพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระบบขนส่ง ซึ่งรวมถึงการบำรุงรักษายานพาหนะอย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจสอบความพร้อมของพนักงานขับรถ และการจัดการปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ 3. ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย การขนส่งต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายจราจร กฎหมายแรงงาน และมาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่ง การอบรมช่วยให้ TSM เข้าใจข้อกำหนดเหล่านี้และสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร 4. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย TSM ที่ผ่านการอบรมสามารถนำเทคนิคการจัดการความปลอดภัยที่ทันสมัยมาใช้ เช่น การใช้ระบบติดตาม GPS การวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุ และการบริหารจัดการพฤติกรรมของพนักงานขับรถ ทำให้สามารถวางแผนและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร การปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอุบัติเหตุในระยะยาว TSM ที่ผ่านการอบรมสามารถสื่อสารและถ่ายทอดความรู้ด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานทุกระดับ เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย 6. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความสามารถในการแข่งขันขององค์กร องค์กรที่มีระบบบริหารความปลอดภัยที่ดีมักได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า คู่ค้า และหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันในตลาด การอบรม Transport Safety Manager (TSM) เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่เพียงแต่ช่วยให้ TSM มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการบริหารจัดการความปลอดภัย แต่ยังช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนในองค์กร หากคุณต้องการให้การขนส่งในองค์กรของคุณมีความปลอดภัยสูงสุด อย่าละเลยการอบรม TSM เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้! สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

300 16 มิ.ย. 2568, 03:08

เหตุใดถึงต้องต่อภาษีแทรกเตอร์ และขั้นตอนการต่อภาษีต้องทำอย่างไร

เหตุใดถึงต้องต่อภาษีแทรกเตอร์ และขั้นตอนการต่อภาษีต้องทำอย่างไร สวัสดีครับพี่น้องชาวเกษตรกรทุกท่าน หลายๆท่านที่เพิ่งซื้อแทรกเตอร์คูโบต้าคันแรก อาจไม่ทราบว่าแทรกเตอร์ ของเราก็ต้องมีการเสียภาษี และ พ.ร.บ. เหมือนรถยนต์เลยนะครับ หรือบางท่านที่ซื้อแทรกเตอร์มานานแล้วอาจจะลืมต่อภาษี และ พ.ร.บ. ประจำปี วันนี้ผมมีเนื้อหาดี ๆ เกี่ยวกับการต่อภาษี และ พ.ร.บ. มาให้ทุกท่านทราบกันครับ  ความสำคัญของการต่อภาษีรถ กฏหมายบังคับให้ทุกคนที่มีรถเอาไว้ในครอบครองต้องดำเนินการเสียภาษีประจำปี (พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522) ป้ายภาษีเป็นหลักฐานการแสดงต่อหน่วยงานรัฐว่าทำตามกฎหมายถูกต้อง ไม่ต้องถูกปรับ การต่อภาษีรถเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณาความคุ้มครองจากผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.)   ผลกระทบจากการไม่ต่อภาษี ผู้ครอบครองรถถือเป็นผู้มีหน้าที่ในการชำระค่าภาษีรถประจำปี ซึ่งหากไม่ชำระภายในกำหนด จะมีผลดังนี้ กรณีค้างชำระภาษีรถประจำปีไม่ถึงสามปี : นายทะเบียน (ขนส่ง) มีอำนาจที่จะไม่รับดำเนินการด้านทะเบียนใด ๆ จนกว่าจะเสียภาษีที่ค้างชำระและเงินเพิ่มให้ครบถ้วน กรณีค้างชำระภาษีรถประจำปีติดต่อกันครบสามปี : ทะเบียนรถจะถูกระงับไป จะต้องนำคู่มือจดทะเบียนรถไปแสดงต่อนายทะเบียน เพื่อบันทึกหลักฐานการระงับทะเบียนรถภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง หากจะต้องดำเนินการเกี่ยวกับเล่มทะเบียน จะต้องชำระค่าภาษีที่ค้างสามปี และเงินเพิ่ม รวมถึงต้องดำเนินการขอจดทะเบียนรถใหม่ต่อไป ส่วนกรณีที่ผู้ครอบครองกระทำผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ใช้รถที่ถูกระงับทะเบียน หรือใช้รถที่ไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษีรถประจำปี ผู้ครอบครองจะต้องเสียค่าปรับด้วยตนเอง   ขั้นตอนการต่อภาษี นำเล่มทะเบียน หรือ สำเนาเล่มทะเบียน และ พ.ร.บ. ไปยื่นเสียภาษีที่กรมการขนส่งทั่วประเทศ สามารถต่อภาษีล่วงหน้าได้ 90 วันก่อนครบอายุภาษี (สำหรับแทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว และรถขุดคูโบต้า ไม่อยู่ในข่ายต้องตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี) นี่ก็เป็นความสำคัญในการต่อภาษีประจำปี เพื่อให้เราสามารถใช้งานแทรกเตอร์ของเราได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนะครับ ค่าใช้จ่ายสำหรับการต่อภาษีแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวนวดข้าวที่ใช้ในการเกษตร ก็ไม่ได้สูงเลยครับ เพียงแค่คันละ 50 บาทต่อปีเท่านั้น (พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522) ถูกกว่าค่าอาหารบางมื้อของเราซะอีกครับ ดังนั้นพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกท่านอย่าลืมไปต่อภาษีให้ถูกต้องกันนะครับ สำหรับเรื่อง พ.ร.บ. เดี๋ยวผมมาอธิบายต่อในครั้งถัดไปนะครับ สำหรับครั้งนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.siamkubota.co.th/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์ Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377 อีเมล : contact@iddrives.co.th

251 16 มิ.ย. 2568, 04:04


Scroll to Top