บทความและความรู้


อัตราภาษีรถกระบะ รถยนต์รับจ้าง ที่ผู้ใช้รถควรรู้!

ภาษีรถกระบะ และภาษีรถรับจ้างสาธารณะ หลังจากบทความที่แล้ว เราพูดถึงภาษีรถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง และภาษีรถยนต์มากกว่า 7 ที่นั่งกันไปแล้ว บทความนี้ เราจะมาพูดถึงอัตราภาษีรถกระบะ และรถรับจ้างสาธารณะกันบ้าง สำหรับภาษีรถกระบะ และภาษีรถรับจ้างสาธารณะ จะจัดเก็บตามน้ำหนักของรถ โดยมีอัตรา ดังนี้  ภาษีรถกระบะ ภาษีรถบรรทุกส่วนบุคคล ภาษีรถบรรทุกส่วนบุคคล สำหรับรถบรรทุกส่วนบุคคล หรือรถกระบะ ไม่ว่าจะแบบ 2 ประตู หรือ 4 ประตู หรือรถที่ได้รับป้ายทะเบียนพื้นขาว ตัวอักษรสีเขียว จะมีอัตราภาษี ดังนี้  รถที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กก. มีอัตราภาษี 300 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 501 - 750 กก. มีอัตราภาษี 450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 751 - 1,000 กก. มีอัตราภาษี 600 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,001 - 1,250 กก. มีอัตราภาษี 750 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,251 - 1,500 กก. มีอัตราภาษี 900 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,501 - 1,750 กก. มีอัตราภาษี 1,050 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,751 - 2,000 กก. มีอัตราภาษี 1,350 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,001 - 2,500 กก. มีอัตราภาษี 1,650 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,501 - 3,000 กก. มีอัตราภาษี 1,950 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,001 - 3,500 กก. มีอัตราภาษี 2,250 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,501 - 4,000 กก. มีอัตราภาษี 2,550 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,001 - 4,500 กก. มีอัตราภาษี 2,850 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,501 - 5,000 กก. มีอัตราภาษี 3,150 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5,001 - 6,000 กก. มีอัตราภาษี 3,450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6,001 - 7,000 กก. มีอัตราภาษี 3,750 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 7,001 ขึ้นไป กก. มีอัตราภาษี 4,050 บาท ภาษีรถรับจ้าง รถสาธารณะที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มรถยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รวมถึงรถยนต์บริการ จะต้องเสียภาษีรถยนต์ในอัตรา ดังนี้  ภาษีรถรับจ้าง ภาษีรถยนต์รับจ้าง รถที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กก. มีอัตราภาษี 185 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 501 - 750 กก. มีอัตราภาษี 310 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 751 - 1,000 กก. มีอัตราภาษี 450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,001 - 1,250 กก. มีอัตราภาษี 560 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,251 - 1,500 กก. มีอัตราภาษี 685 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,501 - 1,750 กก. มีอัตราภาษี 875 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,751 - 2,000 กก. มีอัตราภาษี 1,060 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,001 - 2,500 กก. มีอัตราภาษี 1,250 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,501 - 3,000 กก. มีอัตราภาษี 1,435 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,001 - 3,500 กก. มีอัตราภาษี 1,625 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,501 - 4,000 กก. มีอัตราภาษี 1,810 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,001 - 4,500 กก. มีอัตราภาษี 2,000 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,501 - 5,000 กก. มีอัตราภาษี 2,185 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5,001 - 6,000 กก. มีอัตราภาษี 2,375 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6,001 - 7,000 กก. มีอัตราภาษี 2,560 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 7,001 ขึ้นไป กก. มีอัตราภาษี 2,750 บาท ภาษีรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด และรถยนต์บริการ ภาษีรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด และรถยนต์บริการ รถที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กก. มีอัตราภาษี 450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 501 - 750 กก. มีอัตราภาษี 750 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 751 - 1,000 กก. มีอัตราภาษี 1,050 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,001 - 1,250 กก. มีอัตราภาษี 1,350 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,251 - 1,500 กก. มีอัตราภาษี 1,650 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,501 - 1,750 กก. มีอัตราภาษี 2,100 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,751 - 2,000 กก. มีอัตราภาษี 2,550 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,001 - 2,500 กก. มีอัตราภาษี 3,000 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,501 - 3,000 กก. มีอัตราภาษี  3,450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,001 - 3,500 กก. มีอัตราภาษี 3,900 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,501 - 4,000 กก. มีอัตราภาษี 4,350 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,001 - 4,500 กก. มีอัตราภาษี 4,800 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,501 - 5,000 กก. มีอัตราภาษี 5,250 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5,001 - 6,000 กก. มีอัตราภาษี 5,700 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6,001 - 7,000 กก. มีอัตราภาษี 6,150 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 7,001 ขึ้นไป กก. มีอัตราภาษี 6,600 บาท เพราะภาษีรถยนต์เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถต้องรับผิดชอบควบคู่ไปกับพ.ร.บ. รถยนต์ ดังนั้น เมื่อถึงเวลาชำระภาษีรถยนต์ ก็อย่าลืมไปชำระในวันที่กำหนด ไม่งั้นอาจถูกปรับได้ แม้จะเพียง 1% ของอัตราภาษีต่อเดือน แต่เมื่อรวม ๆ กันหลาย ๆ เดือนแล้ว ก็เป็นเงินไม่น้อยเลยทีเดียว ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://chobrod.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

537 16 มิ.ย. 2568, 13:54

เมาแล้วขับ…เกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จ่ายมั้ย

อย่างที่รู้กันอยู่ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุในกรณีเมาแล้วขับ แล้วมีการตรวจเช็คเจอปริมาณแอลกอฮอล์มากกกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์ไม่ว่าเจ้าไหนก็ไม่มีใครรับผิดชอบแน่นอน แต่เชื่อว่าหลายๆ คนยังมีข้อสงสัยว่าถ้าประกันภัยรถยนต์ไม่จ่ายแล้ว พ.ร.บ. ล่ะจะจ่ายรึเปล่าเพราะเป็นความผิดเมาแล้วขับ ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับ พ.ร.บ. กันเสียก่อน พ.ร.บ. ย่อมาจาก พระราชบัญญัติ ซึ่ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะเป็นกฎหมายที่บังคับให้รถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกจะต้องทำและมีไว้เป็นหลักประกันให้กับคนในรถทุกคัน หรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนว่าจะได้รับสิทธิความคุ้มครองจากเงินกองกลางที่รถทุกคันได้ทำ พ.ร.บ. ว่า จะได้รับความคุ้มครอง/เงินค่ารักษาพยาบาลจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือการประสบภัยจากรถในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที                 ในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ พ.ร.บ. จะรับผิดชอบและให้ความคุ้มครองในตัวบุคคล หรือผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุ โดยไม่มีข้อแม้ ซึ่ง พ.ร.บ. จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นหรือค่ารักษาพยาบาลโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิดตามวงเงินที่กำหนดไว้ แต่ถ้าเกิดความเสียหายแก่รถของคุณหรือคู่กรณีคุณต้องจ่ายค่าเสียหายเองทั้งหมด พ.ร.บ.จะจ่ายให้แค่รักษาพยาบาลในกรณีบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเท่านั้น โดย พ.ร.บ. จะจ่ายค่า รักษาพยาบาล ไม่เกิน 30,000  บาท/คน และ การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ไม่เกิน 35,000  บาท/คน   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.grandprix.co.th/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

315 14 มิ.ย. 2568, 16:21

เจ็บจากรถ หมดกังวัลเรื่องค่าใช้จ่าย พ.ร.บ.คุ้มครองค่ารักษาเบื้องต้น 30,000 บาท ใช้สิทธิ์ได้ที่ โรงพยาบาลดีบุก

(วงเงินคุ้มครองสูงสุด 304,000 บาท กรณีมี พ.ร.บ. อุบัติเหตุจากรถ) ค่าเสียหายเบื้องต้น (จ่ายโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด) บาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 30,000 บาท สูญเสียอวัยวะ ได้รับ 35,000 บาท สูญเสีย/ทุพพลภาพถาวร ได้รับ 35,000 บาท ค่าสินไหมทดแทน (จ่ายหลังพิสูจน์ถูกผิดแล้ว) บาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 80,000 บาท สูญเสียอวัยวะ นิ้วขาด 1 ข้อขึ้นไป 200,000 บาท สูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน 250,000 บาท สูญเสียอวัยวะ 2 ส่วน 300,000 บาท สูญเสีย/ทุพพลภาพถาวร ได้รับ 300,000 บาท กรณีบาดเจ็บและต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จะได้รับค่าชดเชยวันละ 200 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน (ยกเว้นผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น) เอกสารขอใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. สำเนากรมธรรม์รถ บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาบันทึกประจำวันตำรวจ หมายเหตุ พ.ร.บ. ต้องไม่หมดอายุ คำถามไขข้อข้องใจ ใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. ที่ โรงพยาบาลดีบุก Q : ล้มเองใช้สิทธิ์ พ.ร.บ ได้หรือไม่ ? A : ใช้ได้ ถึงแม้ไม่มีคู่กรณีก็สามารถใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เบื้องต้น 30,000 บาท Q : ไม่มีใบขับขี่ เบิกสิทธิ์ พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : เบิกได้ ถึงแม้ไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุก็สามารถใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลได้ ที่สำคัญคือ พ.ร.บ. รถต้องไม่หมดอายุ Q : ขาโดนท่อรถ เบิก พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : เบิกได้ หากเป็นการบาดเจ็บขณะกำลังขับขี่หรือกำลังใช้รถที่มี พ.ร.บ. สามารถใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เบื้องต้น 30,000 บาท แต่ในกรณีโดนท่อรถที่จอดอยู่จะไม่สามารถใช้ พ.ร.บ. ได้ Q : ชาวต่างชาติใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : ใช้ได้ พ.ร.บ. จะคุ้มครองทั้งผู้ขับขี่และผู้ประสบเหตุจากรถทันที ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ ที่สำคัญ พ.ร.บ. รถคันที่ประสบเหตุต้องไม่หมดอายุ Q : ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วมีอะไรกระเด็นเข้าตาใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : ใช้ได้ ในกรณีที่ขับขี่รถที่มี พ.ร.บ. แล้วเกิดมีอะไรกระเด็นเข้าตา ทำให้บาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุ สามารถใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เบื้องต้น 30,000 บาท Q : พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบเหตุได้ทุกคนหรือไม่ ? A : คุ้มครองทุกคน ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงบุคคลอื่นที่บาดเจ็บจากรถที่มี พ.ร.บ. โดยได้รับวงเงินรักษาพยาบาลเบื้องต้นคนละ 30,000 บาท เท่ากันทุกคน   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.dibukhospital.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

158 12 มิ.ย. 2568, 10:40

ควรเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ตอนไหน..ก่อน หรือหลังสตาร์ท

น้ำมันเครื่อง นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แน่นอนว่าเมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ น้ำมันเครื่องย่อมมีการเสื่อมสภาพและมีปริมาณที่ลดลงไปจากการเผาไหม้ ดังนั้นผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านควรหมั่นตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ สำหรับวิธีตรวจเช็คน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก ผู้ใช้รถสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เพียงดึงก้านวัดออกมาดู อย่างไรก็ดีครับในเรื่องของการตรวจเช็คระดับน้ำมัน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาหลายยุคหลายสมัยว่า ควรทำช่วงเวลาไหน บ้างก็ว่าต้องจอดรถทิ้งไว้ข้ามคืนวันรุ่งขึ้นค่อยมาเช็คดีที่สุด เพราะน้ำมันเครื่องจะไหลกลับลงอ่างอย่างเต็มที่ และหายร้อน จึงมีความข้นและเหนียวมากขึ้น เมื่อดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมาน้ำมันจะติดที่ก้านวัดได้ดีและแม่นยำ บางอู่บางสำนักก็บอกว่าหลังจากดับเครื่องสัก 4-5 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องด้านล่างก็ตรวจได้ทันที แล้วแบบนี้ผู้ใช้รถควรเชื่อแบบใด ซึ่งในความเป็นจริง หากทำตามข้อแนะนำว่าจอดทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วถ้าเอารถเข้าศูนย์ ลองคิดดูครับว่ากว่าช่างจะถ่ายน้ำมันเครื่องแต่ละทีคงทำงานได้ยากและใช้เวลานานมาก ดังนั้นการที่บอกว่าต้องรอข้ามคืนไม่น่าใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลนัก เพราะช่างต้องรอวัด 6-8 ชม .แล้วจะส่งรถยังไง โดย ‘คู่มือรถ’ ส่วนใหญ่ก็ระบุขั้นตอนไว้ค่อนข้างชัดเจน ให้ติดเครื่องยนต์หรือทำงานจนร้อน จากนั้นดับเครื่องแล้วรอสักครู่ เพื่อให้น้ำมันไหลกลับอ่างน้ำมันเครื่อง นั่นคือ 1-5 นาที ถึงค่อยทำการวัดระดับ สำหรับขั้นตอนการวัดระดับน้ำมันเครื่อง อันดับแรกต้องจอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่ก็ได้ เสร็จแล้วเสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป *ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ที่สำคัญควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.roojai.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

457 17 มิ.ย. 2568, 02:08

5 วิธีตรวจเช็กสภาพรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจด้วยตัวเองเบื้องต้นก่อนออกทริป

วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากสายลุยที่กำลังเตรียมตัวเดินทางโดยรถจักรยานยนต์คู่ใจ กับ 5 วิธีตรวจเช็กสภาพรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้เดินทางได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ 1.น้ำมันเครื่อง      การตรวจเช็กน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ด้วยตัวเอง สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการตรวจเช็กด้วยก้านวัดน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะอยู่ที่ช่วงล่างข้างใดข้างหนึ่งของเครื่องยนต์ ขั้นตอนแรก ต้องจอดรถจักรยานยนต์บนพื้นราบด้วยขาตั้งคู่ ถ้าเครื่องร้อนอยู่ควรทิ้งระยะรอให้เย็นก่อน แล้วค่อยหมุนก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา รอบแรกให้เช็ดก้านวัดน้ำมันเครื่องด้วยผ้าหรือกระดาษชำระ จากนั้นใส่ก้านวัดกลับเข้าไปใหม่แล้วเอาออกมาดูอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้มี 2 อย่างที่ควรตรวจเช็ค คือ ระดับน้ำมันเครื่อง และ สภาพน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันเครื่อง ให้สังเกตที่สัญลักษณ์บอกระดับบนก้านวัด ซึ่งจะมีระดับเต็ม (F) กับ ระดับต่ำ (L) ระดับน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมควรจะอยู่ระหว่างสัญลักษณ์นี้ ไม่ควรต่ำหรือสูงกว่า สภาพน้ำมันเครื่อง ถ้าคราบน้ำมันเครื่องบนก้านวัดมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ แนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ในกรณีที่ถ้าพบว่ามีเศษโลหะปนในคราบน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเครื่องมีลักษณะคล้ายน้ำนม แนะนำให้ปรึกษาช่าง อย่างไรก็ตาม ในรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ บางรุ่นอาจจะตรวจเช็กน้ำมันเครื่องได้ง่ายกว่าผ่านช่องตรวจเช็กน้ำมันเครื่องโดยใช้วิธีการสังเกตเช่นเดียวกับการตรวจเช็กที่ก้านวัดน้ำมันเครื่อง 2.สภาพยาง      ยางรถจักรยานยนต์เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญและทำงานหนัก เนื่องจากต้องสัมผัสกับพื้นถนนที่คาดเดาไม่ได้เป็นเวลานาน หากละเลยการดูแลในส่วนนี้อาจส่งผลต่อการขับขี่ และทำให้เกิดอันตรายระหว่างการเดินทางได้ ซึ่งคุณสมบัติของยางรถจักรยานยนต์ที่เรียกได้ว่าสภาพดีและสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ควรมีลายดอกยางชัด เนื้อยางต้องไม่แข็งกระด้าง และลมยางควรอยู่ในระดับที่พอดี ซึ่งการตรวจเช็กสภาพยางรถจักรยานยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเอง สามารถทำได้ดังนี้ ดอกยาง ให้ดูที่ความลึกของร่องดอกยางเป็นหลัก ถ้าร่องลึกและชัด (หรืออย่างน้อยก็ไม่สึกและเลือนจนเกินไป) แสดงว่ายางรถจักรยานยนต์ของคุณยังอยู่ในสภาพดี ลมยาง ควรตรวจเช็กลมยางเป็นประจำและเติมลมให้ระดับแรงดันอยู่ในมาตรฐานเสมอเพื่อรักษาสภาพยาง และช่วยให้รถสามารถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย เนื้อยาง ยางที่ยึดเกาะถนนได้ดีคือยางที่มีเนื้อยางนุ่ม สามารถทดสอบด้วยการใช้เล็บจิกลงไปได้ แต่ถ้าเนื้อยางมีสภาพแข็งกระด้างเมื่อไหร่ ความสามารถในการยึดเกาะพื้นถนนก็จะยิ่งลดลง แนะนำว่าควรเปลี่ยนยางเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ แม้สภาพโดยรวมยังดีอยู่ก็ตาม   3.ระบบเบรก    ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพสำคัญมากต่อความปลอดภัยในการขี่รถจักรยานยนต์ ถ้าเมื่อไหร่ที่สัมผัสได้ว่าระบบเบรกทำงานผิดปกติ เช่น เบรกไม่ค่อยอยู่ มีระยะเบรกเพิ่มขึ้น หรือมีเสียงแปลกๆ อาจจะต้องลองเช็กสภาพระบบเบรกด้วยตัวเองเบื้องต้น ดังนี้  เช็กผ้าเบรก ดูความหนา บาง ของผ้าเบรกด้วยตาเปล่า ถ้าพบว่าผ้าเบรกบางเกินไปแล้ว (หรือเหลือความหนาไม่ถึง 3 มิลลิเมตร) แนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรก เช็กปริมาณน้ำมันเบรก ในระบบเบรกรถจักรยานยนต์ นอกจากผ้าเบรกแล้ว น้ำมันเบรกก็เป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบที่สามารถบอกประสิทธิภาพของระบบเบรกได้ โดยทำหน้าที่ในการดันลูกสูบเพื่อดันผ้าเบรกให้บีบกับจานเบรก แปลว่า ถ้าผ้าเบรกบางลง น้ำมันเบรกก็จะเข้าไปแทนที่เยอะขึ้น ดังนั้น ระดับของน้ำมันเบรกที่ลดลงก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเราควรดูแลระบบเบรกได้แล้ว   4.ของเหลวในระบบหล่อเย็น อุณหภูมิก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทุกระบบของรถจักรยานยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบหล่อเย็น ซึ่งทำหน้าที่รักษาอุณภูมิที่เหมาะสมของเครื่องยนต์จึงถือเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะของเหลวในระบบหล่อเย็น แล้วเราจะตรวจเช็กด้วยตัวเองได้อย่างไรบ้าง มาดูกัน ตรวจเช็กระดับน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ ทำได้ง่ายๆ โดยการเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องเย็น ถ้าเห็นว่าน้ำยาหล่อเย็นพร่องไปควรเติมให้เต็ม การเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นควรทำเมื่อพบว่าน้ำยาหล่อเย็นเริ่มเป็นสีสนิม ตรวจเช็กระดับน้ำยาหล่อเย็นในหม้อพัก โดยดูที่สัญลักษณ์บอกระดับน้ำ ถ้าน้ำยาหล่อเย็นลดลงไป โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าขีดล่างก็ควรเติมให้เต็ม แต่อย่าให้เกินขีดบน   5.สัญญาณไฟและเสียงแตร      ถ้าจะเปรียบเทียบไฟสัญญาณต่างๆ และเสียงแตร เป็นการสื่อสารของรถจักรยานยนต์ก็คงไม่ผิด เพราะทุกครั้งที่เปิดสัญญาณไฟหรือกดแตรคือการบอกให้เพื่อนร่วมถนนคันอื่นๆ รู้ว่าเรากำลังจะเลี้ยว เบรก หรือขอทาง ถ้าเกิดระบบไฟและแตรไม่ทำงาน เท่ากับการขี่รถจักรยานยนต์ของเรานั้นมีความเสี่ยงและอันตรายมากทั้งต่อตัวเราและคนอื่นๆ ดังนั้น ก่อนใช้รถทุกครั้งควรตรวจเช็กสิ่งเหล่านี้ด้วย สำหรับความผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับสัญญาณไฟรถจักรยานยนต์และแตร ได้แก่ ไฟสว่างไม่เต็มที่ ไฟกระพริบ หรือติดๆ ดับๆ  ไฟดับ ไม่ทำงาน ฝาครอบไฟร้าวหรือแตก แตรไม่ดังหรือมีเสียงที่แปลกไปจากเดิม ถ้าสัญญาณไฟรถจักรยานยนต์จุดใดจุดหนึ่งและแตรมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้ขี่ไปหาช่างก่อนออกเดินทางจะดีที่สุด   ทั้งหมดที่พูดมาเป็นเพียงการตรวจเช็กสภาพมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเองเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีระบบอื่นๆ ที่ต้องตรวจเช็กด้วยช่างที่มีความชำนาญ หากพบสัญญาณความผิดปกติอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ควรนำรถจักรยานยนต์ไปให้ช่างช่วยดูก่อนออกทริป เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นอาจทำให้ทริปล่ม วันหยุดยาวที่วางแพลนมาหมดสนุกได้ อีกทั้งร้านซ่อม ศูนย์ซ่อมต่างๆ ก็อาจปิดทำการได้เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ควรตรวจเช็คสภาพรถมอเตอร์ไซค์ให้พร้อมใช้งานก่อนที่จะออกเดินทางเป็นดีที่สุด   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.yamaha-motor.co.th/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

525 16 มิ.ย. 2568, 13:34


Scroll to Top