บทความและความรู้


รู้ให้เคลียร์!! ป้ายภาษี กับ พ.ร.บ. ไม่ใช่อันเดียวกัน

ป้ายภาษี กับ พ.ร.บ. รถยนต์ ไม่ใช่อันเดียวกัน กฎหมายกำหนดให้รถทุกคันชำระค่าภาษีรถยนต์และทำพ.ร.บ. รถยนต์ ซึ่งทั้ง 2 อย่างมีการแยกประเภทแบบชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็อาจมีบางคนยังสับสนว่าระหว่างป้ายภาษี และ พ.ร.บ. นั้นต่างกันอย่างไร และมีไว้ทำอะไร วันนี้เราจะพาไปไขข้อข้องใจ ป้ายภาษี กับ พ.ร.บ. ไม่ใช่อันเดียวกัน! ใครยังสงสัยอยู่ ต้องดู! ป้ายภาษีรถยนต์คืออะไร?      ป้ายภาษีรถยนต์ เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องต่อทุกปีตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เพราะถ้าหากไม่ต่อภาษีรถยนต์นานติดต่อกันเกิน 3 ปี จะทำให้ถูกระงับทะเบียนรถได้เลยทันที ผู้ขับขี่อาจจะต้องเสียเวลานำรถไปจดทะเบียนภาษีรถยนต์ใหม่อีกครั้ง แล้วจึงจะได้ป้ายภาษีเก่ากลับมา ที่สำคัญเมื่อนำรถไปจดทะเบียนภาษีใหม่อาจถูกเก็บภาษีย้อนหลังอีกด้วย ถ้าหากผู้ขับขี่คนไหนไม่อยากเสียภาษีย้อนหลัง การต่อภาษีรถยนต์ตรงต่อเวลาจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันการต่อภาษีรถยนต์นั้นสามารถทำได้ก่อนหมดอายุไม่เกิน 3 เดือน และจะต้องทำพ.ร.บ. รถยนต์ ให้เสร็จก่อนต่อภาษี เพื่อให้ได้ป้ายภาษีสี่เหลี่ยมมาติดกระจกหน้ารถ เพราะถ้าหากโดนตรวจแล้วพบว่าไม่มีป้ายนี้ผู้ขับขี่จะได้รับโทษปรับ 400-1,000 บาท นั่นเอง พ.ร.บ. รถยนต์ คืออะไร?      พ.ร.บ. รถยนต์ เป็นประกันภัยภาคบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ที่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกคันต้องทำไว้ เพราะถ้าหากตรวจสอบแล้วว่ารถคันไหนไม่มี พ.ร.บ. ตามที่กฎหมายว่าไว้จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท  และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. รถยนต์ เป็นเอกสารที่สำคัญมากจะต้องเป็นเก็บไว้ให้ดี เนื่องจากเป็นเอกสารที่ต้องใช้ในการต่อภาษีรถยนต์อีกด้วย หากรถคันไหนที่ได้ทำ พ.ร.บ. รถยนต์ ไว้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาตัว พ.ร.บ. รถยนต์ จะให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ หรือช่วยค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต ตามวงเงินที่คุ้มครองในกรมธรรม์ของรถยนต์ประเภทนั้นๆ       สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้พูดถึงเหตุผลในการประกาศใช้กฎหมายว่า การที่รัฐออกกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องจัดให้มีประกันภัยอย่างน้อยที่สุด คือ การทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพราะเหตุ ประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที กรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่า ปลงศพ กรณีเสียชีวิต เป็นหลักประกันให้โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลในการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ เป็นสวัสดิสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเพราะเหตุประสบภัยจากรถ ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว”      ดังนั้นรถทุกคันจะต้องมี ป้ายภาษีรถยนต์ และ พ.ร.บ. รถยนต์ เพื่อการประกันภัยต่อตัวรถและบุคคล และที่สำคัญทั้ง 2 อย่างนี้ จำเป็นต้องทำทุกปีตามที่กฎหมายได้ระบุไว้ เพราะถ้าหากรถคันไหนไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ ความคุ้มครองและการชดเชยค่าเบิกจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะไม่สามารถทำได้ และจะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้ด้วยเช่นกัน ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.viriyah.com    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

422 26 เม.ย. 2568, 00:39

การเดินทางอย่างปลอดภัย-สำหรับเด็กๆ

เมื่อเด็กๆ ต้องก้าวขาออกจากบ้านไปโรงเรียนความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในการเดินทางด้วยยานพาหนะ เช่น รถโดยสาร รถโรงเรียน รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ส่วนบุคคล ผู้ปกครองและเด็กๆ ควรให้ความสำคัญกับการเดินทางอย่างปลอดภัยเพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นบนท้องถนน เคล็ดลับเดินทางปลอดภัยสำหรับเด็กๆ สอนให้รู้จักป้ายจราจร ที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ป้ายจราจรบริเวณโรงเรียน หรือระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อให้เด็ก ๆ จดจำและปฏิบัติได้ถูกต้อง สวมหมวกกันน็อก ปรับสายรัดคางให้พอดี ช่วยลดโอกาสบาดเจ็บที่ศีรษะ คาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ ไม่ว่าจะนั่งข้างหน้าหรือข้างหลัง สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งคาร์ซีท รอรถจอดสนิทก่อนค่อยลง ขึ้น-ลงทุกครั้ง รอให้รถจอดสนิท ใช้ประตูที่ติดกับฝั่งทางเท้าเพื่อความปลอดภัย ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก ขับขี่ปลอดภัย dy DLT สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

260 25 เม.ย. 2568, 09:05

เตือน !! หากองค์กรฝ่าฝืนและไม่มี TSM ประจำบริษัท ปรับแรงงงง

กรมการขนส่งทางบก ย้ำ!!! ผู้ประกอบการขนส่งต้องมีบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัย ในการขนส่ง (Transport Safety Manager : TSM) เริ่มบังคับใช้กับผู้ประกอบการขนส่งกลุ่มแรก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากฝ่าฝืน  มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท   จะเกิดอะไรขึ้นหากองค์กรฝ่าฝืนและไม่มี TSM ประจำบริษัท TSM: หัวใจสำคัญของความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขนส่ง บทนำ ในยุคโลกาภิวัตน์ที่การขนส่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม ความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขนส่งจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญ องค์กรที่มีระบบการขนส่งที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ย่อมส่งผลดีต่อทั้งตัวองค์กรเอง ลูกค้า และสังคมโดยรวม TSM (Transport Safety Management) หรือ หัวหน้าระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบการขนส่งให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ TSM มีหน้าที่หลักในการวางแผน ควบคุม กำกับดูแล และพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ส่งเสริมประสิทธิภาพการขนส่ง และสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วน เนื้อหา หน้าที่หลักของ TSM TSM มีหน้าที่หลักดังต่อไปนี้ วางแผนและจัดทำระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง: TSM จะต้องวิเคราะห์ความเสี่ยง กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการ รวมทั้งจัดทำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง ควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงาน: TSM จะต้องตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง รวมทั้งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น พัฒนาระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง: TSM จะต้องศึกษา เรียนรู้ และติดตามความรู้ใหม่ๆ รวมทั้งนำมาพัฒนาระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ฝึกอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับพนักงาน: TSM จะต้องฝึกอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับพนักงานเกี่ยวกับระบบบริหารจัดการความปลอดภัยการขนส่ง รวมทั้งปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับองค์กร ประโยชน์ของการมี TSM การมี TSM ประจำองค์กร ส่งผลดีต่อองค์กรในหลายๆ ด้าน ดังนี้ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ: TSM จะช่วยระบุและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการขนส่ง และนำเสนอแนวทางการป้องกันและแก้ไขความเสี่ยงเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ ส่งผลดีต่อทั้งพนักงาน ลูกค้า และภาพลักษณ์ขององค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง: TSM จะช่วยบริหารจัดการงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เช่น การจัดการรถ การจัดการผู้ขับขี่ การจัดการการเดินรถ การจัดการการบรรทุกและการโดยสาร และการบริหารจัดการการวิเคราะห์และประเมินผล ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไร สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า: TSM จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่า สินค้าและบริการขององค์กรมีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ ปฏิบัติตามกฎหมาย: TSM จะช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการถูกปรับหรือถูกดำเนินคดี ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มี TSM หากองค์กรไม่มี TSM ประจำองค์กร อาจส่งผลเสียต่อองค์กรในหลายๆ ด้าน ดังนี้ เสี่ยงต่อการถูกเปรียบเทียบปรับ: ตามประกาศกรมขนส่งทางบก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการขนส่งทุกรูปแบบ ต้องมี TSM ประจำองค์กร หากฝ่าฝืนจะมีโทษดังต่อไปนี้ ปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท เปรียบเทียบปรับ สั่งให้หยุดประกอบการขนส่งชั่วคราว สั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบการขนส่ง กรณีที่ผู้ประกอบการขนส่งฝ่าฝืนซ้ำ กรมขนส่งทางบก มีอำนาจสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบการขนส่ง โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาการพักใช้สิทธิ์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนส่งที่ไม่มี TSM ประจำองค์กร ยังมีความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ หรือหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค อีกด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการขนส่งทุกท่านควรปฏิบัติตามประกาศของกรมขนส่งทางบกอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน ลูกค้า และผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการขนส่งสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TSM และวิธีการขอมี TSM ประจำองค์กรได้ที่เว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก https://www.dlt.go.th/** ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มี TSM เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ: องค์กรที่ไม่มี TSM อาจขาดระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ส่งผลเสียต่อทั้งตัวองค์กรเอง พนักงาน ลูกค้า และภาพลักษณ์ขององค์กร ประสิทธิภาพการขนส่งลดลง: องค์กรที่ไม่มี TSM อาจไม่มีระบบบริหารจัดการงานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการขนส่งโดยรวม เช่น รถติดขัด สินค้าส่งล่าช้า ต้นทุนสูง และผลกำไรลดลง เสียเปรียบคู่แข่ง: องค์กรที่มี TSM แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในความปลอดภัยและมีระบบการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งจะเป็นจุดดึงดูดลูกค้าและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร องค์กรที่ไม่มี TSM อาจเสียเปรียบคู่แข่งในด้านนี้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทธุรกิจ ขนาดองค์กร วัฒนธรรมองค์กร และความเชี่ยวชาญของบุคลากรที่มีอยู่ บทสรุป TSM มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขนส่ง องค์กรที่มี TSM ประจำองค์กร ย่อมส่งผลดีต่อทั้งตัวองค์กรเอง พนักงาน ลูกค้า และสังคมโดยรวม องค์กรควรพิจารณาผลดีผลเสียอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจว่าจะมี TSM ประจำองค์กรหรือไม่ หากองค์กรต้องการมี TSM ประจำองค์กร สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้าน TSM หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำปรึกษาและรับคำแนะนำเพิ่มเติม ติดต่อ โทร : 083-5161596    

2052 25 เม.ย. 2568, 22:43

รวมกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน

"คู่มือสู่สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย: รีวิวหนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัย พ.ศ. 2554" หนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัย พ.ศ. 2554 นับเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในทุกภาคส่วน หนังสือเล่มนี้รวบรวมกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานไว้อย่างครบถ้วน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองได้อย่างชัดเจน จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ การนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ และมีการอธิบายรายละเอียดของกฎหมายแต่ละฉบับอย่างชัดเจน นอกจากนี้ หนังสือยังครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ เช่น การป้องกันอุบัติเหตุ การจัดการสารเคมีอันตราย และการส่งเสริมสุขภาพอนามัยของคนทำงาน ทำให้ผู้อ่านสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงานได้จริง อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้อาจมีบางส่วนที่เนื้อหาค่อนข้างเชิงเทคนิค เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเบื้องต้นก็สามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ไม่ยาก สรุปแล้ว หนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัย พ.ศ. 2554 เป็นหนังสือที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขอแนะนำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างศึกษาหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง คะแนน: 5/5   ข้อเสนอแนะ: ควรมีการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ เนื่องจากกฎหมายอาจมีการปรับเปลี่ยน   ขอขอบคุณหนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท พีที่ที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด NPC กลุ่มงานมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน   เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางาน สามารถดูเนื้อหาสาระเพิ่มตามได้ตามหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ  

590 25 เม.ย. 2568, 14:41

6 วิธีเช็ครถยนต์ มั่นใจก่อนออกเดินทาง

6 วิธีเช็ครถยนต์ มั่นใจก่อนออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาล ช่วงวันหยุดยาว หรือการใช้ชีวิตในวันปกติ เมื่อต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ไม่ว่าใครก็อยากเดินทางด้วยความราบรื่นและปลอดภัย  โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไกล คงไม่ดีแน่ถ้าต้องมาสะดุดกับปัญหารถเสียกลางทาง ถึงแม้ว่าคุณจะนำรถเข้าศูนย์เช็คระยะ เช็คเครื่องยนต์ อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าหากคุณต้องเดินทางไกลคุณก็สามารถทำการเช็คเครื่องยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเองได้อีกครั้ง เพื่อตรวจสภาพรถยนต์ให้แน่ใจว่ารถของคุณพร้อมใช้งาน เพื่อความปลอดภัยก่อนออกเดินทาง ซึ่งการตรวจเช็คเครื่องยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเอง สามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนในบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ                                                   1. แบตเตอรี่และทำความสะอาดขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ กุญแจสำคัญที่ทำให้รถยนต์ของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพได้ก็คือการเชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่ดี หากการเชื่อมต่อของแบตเตอรี่ไม่ดีก็จะทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ตลอดจนถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถทำงานได้ไม่ราบรื่นไปด้วย ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เมื่อต้องทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ซึ่งให้คุณสังเกตดูสิ่งสกปรกอย่างคราบขี้เกลือสีขาวบนขั้วแบตเตอรี่ ถ้าหากพบเห็นคาบสกปรก คุณสามารถขจัดคราบได้ด้วยการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกโดยเริ่มจากสายไฟขั้วลบก่อน และทำความสะอาดทั้งขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ด้วยน้ำยาทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ใช้แปรงลวดขัดจนกว่าคราบกัดกร่อนจะหลุดไป หลังจากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบต่างๆ ออกให้สะอาดก่อนที่จะใส่อุปกรณ์ต่างๆ กลับไปที่เดิม เราจะต้องใช้ผ้าแห้งเช็ดขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ให้หายชื้นเสียก่อน หลังจากนั้นคุณก็สามารถประกอบกลับตามเดิมและขันขั้วต่อแบตเตอรี่ให้แน่น 2. ตรวจเช็คช่วงล่าง ตรวจเช็คด้วยการลองขับบนถนนเรียบทางตรง โดยสังเกตพวงมาลัยว่าตรงหรือไม่ หากพวงมาลัยไม่ตรงก็จัดการนำรถไปตั้งศูนย์ใหม่ พวกชิ้นส่วนต่างๆของช่วงล่าง เช่นลูกหมาก หากขับทางขรุขระแล้วมีเสียงกุกกัก ก็รีบให้ช่างแก้ไขโดยด่วน โช้คก็เช่นกัน ตรวจเช็คคราบน้ำมันบริเวณแกนโช้ค ว่ารั่วหรือไม่ เพราะระบบช่วงล่างทั้งหมดมีผลต่อการทรงตัวขณะขับขี่ 3.การเติมของเหลวในรถยนต์ที่จำเป็น การตรวจสภาพรถยนต์ ที่สำคัญและง่ายที่สุดนั่นก็คือการตรวจสอบของเหลวทั้งหมดในรถยนต์ ซึ่งเรียกได้ว่า ของเหลวแทบจะมีบทบาทในเกือบทุกด้านของการใช้งานรถยนต์ รวมไปถึงการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน และการยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น การรักษาของเหลวในรถยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้เราสามารถใช้รถยนต์ได้นานยิ่งขึ้น ของเหลวที่ต้องตรวจสอบดังนี้ • น้ำมันเครื่อง • น้ำมันเบรก • น้ำมันเกียร์ • น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ • น้ำฉีดกระจกหน้ารถ • น้ำยาหล่อเย็น ถังเก็บของเหลวต่างๆ จะมีขีดวัดระดับของเหลวตั้งแต่ต่ำสุด (Min) ไปถึงสูงสุด (Max) บางครั้งต้องเช็ดที่ขีดวัดระดับเล็กน้อย เพื่อให้เห็นขีดวัดระดับของเหลวที่ชัดเจน แต่ถ้ามองไม่ชัดหรืออ่านยาก แนะนำให้ใช้ไฟฉายส่องจากด้านตรงข้ามของถัง ก็จะช่วยให้เห็นชัดขึ้น แต่ถ้าหากคุณพบว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่แน่ใจ แนะนำให้ไปที่ร้านยางรถยนต์ เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำการตรวจสอบให้เพื่อความถูกต้องและแม่นยำที่สุด                                             4. ยางรถยนต์ อีกหนึ่งข้อที่จะขาดไปไม่ได้ในการตรวจสภาพรถยนต์ก็คือ การตรวจสอบยางรถ หากไม่มีการตรวจสอบส่วนนี้โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็จะสูงขึ้นเป็นอย่างมาก สิ่งที่ช่วยให้เรายังสามารถควบคุมรถยนต์ได้นั่นก็คือ ยางรถ ทั้ง 4 เส้นที่สัมผัสกับพื้นถนนนั่นเอง เมื่อตรวจสอบยาง ก็อย่าลืมเช็คความลึกร่องดอกยางและตรวจดูส่วนต่างๆว่ามีรอยสึกหรอหรือไม่ ถ้าหากพบร่องดอกยางมีความลึกไม่น้อยกว่า 3 มิลลิเมตรและควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อดอกยางหมดหรือร่องดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตรและขณะตรวจสอบให้สังเกตว่ามีรอยเจาะ รอยแตกลายงา รอยนูนหรือยางบวมผิดปกติหรือไม่ ซึ่งวิธีการเช็คที่ดีที่สุดสำหรับขั้นตอนนี้ก็คือการใช้มือลูบอย่างระมัดระวังไปบนพื้นผิวของยาง เพื่อสัมผัสดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่หากคุณพบว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่แน่ใจ แนะนำให้ไปที่ร้านยางรถยนต์ เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำการตรวจสอบยางให้คุณ พร้อมให้คำแนะนำในกรณีที่จะต้องได้รับการแก้ไข 5. เปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ แผ่นกรองอากาศเครื่องยนต์คือชิ้นส่วนสำคัญเดียวที่จะช่วยปกป้องเครื่องยนต์ของเราจากสิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ซึ่งแผ่นกรองอากาศที่อุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์ต่างๆ สึกหรอ เนื่องจากสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันแผ่นกรองอากาศนั่นเอง การตรวจสอบแผ่นกรองอากาศใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แค่เปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจดู ดูดเศษสิ่งสกปรกภายในตู้ออกหรือเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่แทนหากจำเป็น นอกจากนี้ ให้ตรวจดูแผ่นกรองแอร์ภายในห้องโดยสารด้วยว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งมันจะช่วยปกป้องคุณ โดยดักกรองสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อยู่ในอากาศภายนอกรถ เช่น เขม่าและควันเสีย ก่อนที่อากาศจะไหลผ่านเข้ามาในห้องโดยสาร โดยทั่วไปมักจะพบแผ่นกรองแอร์ภายในห้องโดยสารอยู่หลังช่องเก็บของหน้ารถ ทำได้ไม่ยากเลย แค่เปิดช่องเก็บของออกมา และเลื่อนแผ่นกรองแอร์เดิมออกแล้วเปลี่ยนแผ่นใหม่ 6. การเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน หากคุณพบว่า ใบปัดน้ำฝนของคุณไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเมื่อก่อน หรือทิ้งคราบน้ำไว้บนกระจกรถของคุณ กรณีนี้คุณอาจจะต้องใช้ใบปัดน้ำฝนอันใหม่แล้วล่ะ การใช้ใบปัดน้ำฝนที่ชำรุดหรือเสื่อมสภาพเป็นอันตรายต่อการขับรถยนต์ในฤดูฝนเป็นอย่างมาก ซึ่งการติดตั้งใบปัดน้ำฝนนั้นมีความแตกต่างกันไปในรถยนต์แต่ละรุ่น ดังนั้นคุณจะต้องทำตามขั้นตอนตามคู่มือรถยนต์ของคุณเอง อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนโดยทั่วไปสามารถทำได้โดยยกใบปัดน้ำฝนขึ้นออกจากผิวกระจกรถยนต์ก่อน จากนั้นกดแถบล็อกเพื่อเอาใบปัดน้ำฝนอันเก่าออกจากก้านปัดน้ำฝน ส่วนการใส่ใบปัดน้ำฝนอันใหม่ ก็แค่กดแถบล็อกด้านข้างแล้วใส่ใบปัดอันใหม่แทนที่เดิม เห็นไหมล่ะครับว่าแค่นี่เราก็สามารถตรวจเช็คเครื่องยนต์ ง่ายๆได้ด้วยตัวเองแล้วครับ และการที่เรารู้วิธีตรวจเช็คเบื้องต้นนั้น จะช่วยให้เราสามารถแก้ไขบางอาการได้เองโดยไม่ต้องนำรถเข้าศูนย์หรือเข้าอู่ และหากมีอาการที่น่าสงสัยก็จะได้ส่งซ่อมได้ทัน ฉะนั้น ควรหมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์ของเราก่อนออกเดินทางกันบ่อยๆค่ะ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เยลโล่เซอร์วิส

507 25 เม.ย. 2568, 22:42


Scroll to Top